วันจันทร์ที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2552

รณรงค์ วิธีหยุดการรบกวน แก้ไวรัส MSN




คนที่เล่น MSN หลายๆคนเดี๋ยวนี้คงไม่อาจปฏิเสธได้ว่า
เจอข้อความแปลกๆภาษาอังกฤษพร้อมมีลิงค์แนบ ส่งผ่าน Contacts ของคนที่เป็นเพื่อนเรา

หลายคนรู้ว่ามันคือพวกไม่ประสงค์ดีส่ง Spam หรือ ไวรัสมาให้เราหลงกลคลิก

แต่ก็มีหลายคน คาดไม่ถึง หรือสงสัยต่างๆนาๆหลงกลคลิกลิงค์ที่มันส่งมาให้ บ้างก็คิดว่า เพื่อนเราใน Contacts ส่งมาให้จริงๆ

นึกภาพไม่ออก ผมมีตัวอย่างให้ดูครับ



นี่แหล่ะครับ…คือหลุมพรางของเหล่า Hacker ที่จ้องจะล้วงรหัสผ่านของเรา
โดนมันจะส่งลิงค์มาดังภาพข้างบน หากเราหลงกลคลิกเข้าไป อาจเจอได้ 2 ประเภท

1.เป็นไฟล์แนบ คลิกปุ๊บถ้าไม่มีโปรแกรมป้องกัน หรือโปรแกรมป้องกันไม่ดีพอ เครื่องคุณก็จะติดไวรัสได้ครับ
2.เป็นลิงค์เพื่อส่งต่อไปยังเว็บที่หลอกดักรหัสผ่านเรา(Phishing)

วันนี้ผมจะมาอธิบายข้อ 2 ให้ฟัง นี่แหล่ะครับ เห็นว่ากำลังระบาดหนักสุดๆ นำมาซึ่งความรำคาญใจของใครหลายๆคน

กลไกลการหลอกดักรหัสของมันนั้น
เมื่อเราหลงกลคลิกลิงค์ไปแล้ว จะพบกับเว็บ มีหน้าต่างเสมือนว่าจะให้เราล็อกอิน



(หน้าตาบางทีอาจแตกต่างกันไปได้นะครับ)

…มาถึงหน้านี้แล้ว เครื่องเรายังปลอดภัย อยู่นะครับ…แต่อย่าได้ล็อกอินเข้าไปเลยเชียวเพราะมันจะดักรหัสเราตรงนี้แหล่ะ




ถ้าเกิดเลวร้ายที่สุด เราเผลอล็อกอินผ่านหน้านี้เข้าไปได้แล้ว
ผมพนันได้เลยว่าไม่เกิน 1 ช.ม. msn ที่เป็น Contact ของคุณจะเป็นเสมือนติดเชื้อแวมไพร์

นั่นคือ Contact ของคุณก็จะเป็นทาสบริวารของมันช่วยกรจายข้อความเหล่านี้
ไปหาคนอื่นๆในบัญชีรายชื่อเพื่อนของคุณ แบบที่คุณเคยเจอไงหล่ะ

เอาหล่ะ…วิธีแก้ ง่ายๆ ให้ไปเปลี่ยนพาสเวิด Email ที่ใช้ Login ซะโดยเร็วที่สุด
(ส่วนมากจะใช้ hotmail กัน ผมไม่แน่ใจนะครับว่า hotmail เปลี่ยนพาสเวิดต้องทำอย่างไร รอคนมาตอบ โดยส่วนตัวผมแนะนำ gmail ครับ)

หากคุณเจอเพื่อนคุณส่งลิงค์หลอกลวงมาแบบนี้อีก ?

ผมเข้าใจครับว่ามันน่ารำคาญ แต่อย่าไปบล็อกเขานะครับ เขาไม่รู้อะไรด้วย
หากไปบล็อกแล้ว คุณจะเสียเพื่อน หรือเสียผู้ติดต่อในรายการซะเปล่า มันไม่ใช่การแก้ที่ต้นเหตุ

วิธีแก้ที่ต้นเหตุที่ดีที่สุดคือ บอกเจ้าของเมล์นั้นซะด้วยวิธีไหนก็ตาม
ให้เขาไปเปลี่ยนพาสเวิด อีเมล์ที่ใช้ล็อกอินของเขาซะ

เพียงเท่านี้เหล่า hacker ก็ไม่สามารถแอบอ้างเมล์เรา เอามาส่ง spam ได้อีก






เพิ่มเติม วิธีเปลี่ยนหัสผ่าน hotmail , live (กาก)

เ้ข้าไปที่ www.hotmail.com



ล็อกอินให้เรียบร้อย

ตรงขวามือบน คลิกที่ตัวเลือก แล้วดังภาพ



ไปที่ จัดการบัญชีของคุณ > ดูและแก้ไขข้อมูลส่วนบุคคลของคุณ คลิก “เปลี่ยน” ตรงรหัสผ่าน

แล้วก็จัดการเปลี่ยนเลยครับ



ด้วยความปราถนาดี

วันเสาร์ที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2552

ถ่ายทอดสดการประชุมสภาน่าจะใส่ "เลตติ้ง" ลงไปด้วย


หลังจากได้ดูข่าวการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล ที่มี ส.ส บางคนถึงกับแจก (ไอ้)"กล้วย"
กันกลางสภาฯจึงเป็นเรื่องเป็นราวกันใหญ่โตอยู่ในขณะนี้

การประชุมสภาผู้แทนราษฎร (19 มี.ค.) เลยรู้สึกว่าทำไม
ถึงเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นกลางสภา ซึ่งไม่ได้มีแค่เหตุการณ์นี้อย่างเดียวถ้าติดตามดูจนจบ
ยังมีอีกหลายๆเรื่องเช่น การพูดจาหยาบคาย ด่ากันไปด่ากันมา พูดจาเหน็บแนมแบบรุนแรง ฯลฯ
ยิ่งใครได้อภิปลายเสียดสีกันรุนแรง หรือหยาบมากเท่าไหร่สื่อมวลชล ก็จะยกย่องว่าเป็นดาวเด่นซะงั้น เลยอยากจะเสนอแนะอย่างนึงคืออยากให้มีการจัด "เลตติ้ง" ของผู้ชมด้วย เพราะสงสารเด็กๆ
เวลาเขาถาม พ่อ-แม่ว่า " แม่จ๊า...ในสภาเขามีกล้วยแจกให้กินด้วยเหรอ "

วันศุกร์ที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

ภาระ หน้าที่ ความอดทน

งานแสนหนัก....



ทางไกลแสนไกล...ใครต่อใคร..ทะยอยกันแซงหน้าไป




เหนื่อยเหลือเกิน...กับภาระบนบ่า มีทางไหนที่จะลดภาระลงได้บ้างหรือไม่



ตัดสินใจ...ลดภาระที่แบกอยู่



เบา...สบายกว่าเดิม



อะดีขึ้น เอาออกอีกหน่อยดีกว่า



ขึ้นมาอยู่แถวหน้า...แซงคนอื่นมาแล้ว (เหอๆๆทนแบกกันต่อไปไม่ฉลาดเหมือนเรา ไปต่อดีกว่า)



อะไรกันนี้
ทางขาด...ทำอย่างไรดีนี้!



เมื่อคนที่แบกภาระเต็มบ่าเดินทางมาถึง
จึงได้รู้ว่า

ภาระที่แบกมานั้นล่ะ คือสะพานที่จะเอาไว้ใช้ข้ามผ่าน



จึงรีบนำของตนเองออกมาเพื่อที่จะได้ใช้ข้ามบ้าง
แต่..ทำไม! จึงไปไม่ถึง



เป็นเพราะอะไร เป็นเพราะใคร
เป็นเพราะ...ตัวเอง...ขาดความเพียร
ขาดความมานะ...ความพยายาม ขาดความมุ่งมั่น
ขาดความตั้งใจ



########################################

ดังนั้น เราควรทำงานที่รับผิดชอบในปัจจุบันให้ดีที่สุด
อย่าคิดลดงานลง เพราะความเห็นแก่ความสบาย
เพราะ...งานคือสะพานสู่ความสำเร็จในภายหน้าของเราเอง







วันอาทิตย์ที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

History of Valentine's Day

History of Valentine's Day



วันวาเลนไทน์มาจากชื่อของนักบุญวาเลนไทน์ (St.Valentine) ผู้ซึ่งมีชีวิตอยู่ในสมัยกษัตริย์ Claudiusที่ 2 แห่งกรุงโรม ในสมัยนั้นกษัตริย์ Claudius ออกกฎ ห้ามให้มีการแต่งงานในเมืองของ พระองค์ เพราะกษัตริย์ ทรงต้องการทำศึกสงคราม ทรงต้องการให้ผู้ชายทุกคนไปเป็นทหาร พระองค์เชื่อว่าถ้าไม่มีการแต่งงานผู้ชาย จะสนใจกับการรบมากขึ้น

นักบุญวาเลนไทน์ขัดบทบัญญัติแห่งกฎหมายของกษัตริย์ ด้วยการเป็นบาทหลวงในพิธีแต่งงานให้หนุ่มสาว ที่ต้องการแต่งงานอย่างลับ ๆ ... และแล้ววันหนึ่งข่าวการทำ พิธีสมรสของนักบุญวาเลนไทน์ก็รู้ถึงหูของพระเจ้า Claudius พระองค์จึงทรงสั่งทหารไปจับเขาไปประหารชีวิต... ระหว่างอยู่ในคุกมีคู่แต่งงานที่ท่านเคยทำพิธีให้หลายคู่ลอบไปเยี่ยมเยียนท่านอย่างสม่ำเสมอ และที่นั่นท่านยังได้รู้จักกับหญิงสาวคนหนึ่งซึ่งเป็น ลูกสาวของผู้คุมเธอมักมาพูดคุยกับท่าน.... และบอกท่านเสมอ ๆ ว่า การกระทำของท่านถูกต้องแล้ว

นักบุญวาเลนไทน์เสียชีวิตเมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ในปี 296 A.D. ในคุกแห่งนั้นเอง ก่อนตายท่านได้ฝากโน๊ตสั้น ๆ ถึงเพื่อนของท่านและลงท้ายว่า "Love from your Valentine" ...

ในปี 496 A.D. โป๊ป Gelasius ได้ยกย่องให้วันที่ 14 กุมภาพันธ์ เป็นวันวาเลนไทน์ เพื่อเป็นอนุสรณ์ให้รำลึกถึงคุณความดี ความกล้าหาญ และความเสียสละของนักบุญวาเลนไทน์... เราจึงมักถือเอาวันนี้เป็นวันแห่งความรัก ในระยะต่อมาวันวาเลนไทน์ ใช้แทนความรักของหนุ่มสาวเป็นส่วนใหญ่ โดยในวันนี้จะมีการส่งขนม (โดยเฉพาะช็อคโกแลต) ดอกไม้ (ส่วนใหญ่จะดอกกุหลาบ) ให้กับคนที่รัก

<-------------------------------------------------------------------------------->



ดอกไม้และความหมายของความรัก




มนุษย์ได้ใช้ดอกไม้เป็นสื่อในการแสดงความรักต่อกันมานานแล้ว เราอาจจะคิดว่า ดอกไม้เป็นสิ่งที่สามารถใช้สื่อความหมายเฉพาะความรักของหนุ่มสาวเท่านั้น แต่แท้จริงแล้ว ดอกไม้แต่ละชนิด สามารถสื่อความรักได้หลายรูปแบบ ทั้งยังไม่จำกัดอายุและเพศอีกด้วย



- กุหลาบแดง (red rose) : ส่วนใหญ่จะใช้ในความหมายแทน
ประโยคที่ว่า ”ฉันรักเธอ” การให้ดอกกุหลาบแดงกับคนที่รัก มีความ
หมายถึง ความรักอันลึกซึ้ง จริงจัง กุหลาบแดงจึงมักจะเป็นดอกไม้
ที่ชายหนุ่มให้หญิงสาวที่ตนเองตั้งใจจะใช้ชีวิตร่วมกัน

- กุหลาบขาว (white rose) : สีขาวเป็นสีแห่งความบริสุทธ์
กุหลาบขาว จึงแทนความหมายแห่งความรักอันบริสุทธิ์ใจ ไม่ต้องการสิ่งตอบแทน ดังนั้น มันจึงสามารถใช้แทนความรักของคนต่างวัย
ความรักต่อพ่อแม่ เพื่อน หรือคนที่เรารู้สึกดีด้วยอย่างบริสุทธิ์ใจได้


- กุหลาบชมพู (pink rose) : มักถูกใช้แทนความรักแบบโรแมนติก
และความเสน่หาต่อกัน การให้ดอกกุหลาบสีชมพู สามารถแสดงถึงความรัก ที่กำลังเริ่มงอกงามในใจ และสามารถพัฒนาต่อไปเป็นความรักที่ลึกซึ้งได้


- กุหลาบเหลือง (yellow rose) : สีเหลืองเป็นสีแห่งความสดใส
กุหลาบสีเหลือง ถูกใช้สำหรับแทนความรักแบบเพื่อน และความ
สนุกสนานรื่นเริง จึงมักจะนำมันมาประดับตะกร้าสำหรับเยี่ยมผู้ป่วย
เพื่อทำให้คนป่วยรู้สึกสดชื่นรื่นเริงขึ้นนั่นเอง


สำหรับดอกไม้อื่น ๆ ที่ถูกมาใช้แทนความหมายแห่งความรักก็มี ดอก ทิวลิปสีแดง (red tulip) ชาวตะวันตกใช้มันแทนการประกาศความรักอย่างเปิดเผย คล้าย ๆ กับดอกกุหลาบแดง ส่วนดอกคาร์เนชั่นสีชมพู (pink carnation) ใช้สื่อความหมายว่า “ถึงอย่างไรผมก็ยังรักคุณ” หรือ “คุณยังอยู่ในหัวใจฉันเสมอ”

- ดอกลิลลี่สีขาว (white lilly) แสดงความรักแบบบริสุทธ์ เช่นเดียวกันกับ ดอกกุหลาบขาว นอกจากนั้นลิลลี่สีขาว ยังแสดงถึงความรักแบบอ่อนหวาน จริงใจ และเทอดทูน และมักถูกใช้แทนประโยคที่ว่า “ฉันรู้สึกดี ๆ ที่ได้ได้รู้จัก และอยู่ใกล้คุณ “ สำหรับดอก forget-me–not มีความหมายตรงตัว คือ ได้โปรดอย่าลืมฉัน และอย่าลืมความรู้สึกดี ๆ ที่เคยมีให้กัน

มาถึงดอกไม้ที่เห็นได้ทั่วไปในบ้านเราบ้าง ดอกทานตะวัน(sunflower) มีความหมายถึงความรักแบบคลั่งไคล้ ความรักแบบบูชา แต่สำหรับชาวตะวันตก ดอกทานตะวันจะหมายถึงความเข้มแข็งอดทน จึงสามารถใช้แทนความรัก ที่ต้องฝ่าฟันกว่าจะได้ความรักมา



จะเห็นได้ว่าดอกไม้เป็นประดิษฐกรรมทางธรรมชาติที่มนุษย์เรานำมาใช้เป็นสื่อแทนความหมาย แห่งความรักได้หลายรูปแบบ การมอบดอกไม้ให้กับคนที่เรามีความรู้สึกพิเศษจึงเป็นสิ่งที่ไม่ควร มองข้าม... ในวัน Valentine's นี้คุณมีดอกไม้ในใจ ที่จะให้คนที่คุณรักแล้วหรือยัง ??



<-------------------------------------------------------------------------------->

ช๊อกโกแลต กับ วาเลนไทน์





ช็อคโกแลตหนึ่งในสัญลักษณ์ของวันวาเลนไทน์....หนึ่งในขนมหวานราคาแพงรสอมตะที่ทุกคนอยากลิ้มลอง...หนึ่งในประติกรรมด้านศิลปทางอาหารชิ้นเอกของโลก....และเป็นหนึ่งในคำตอบของเด็กๆทุกคนทั่วโลกเมื่อเลือกซื้อขนม.....วันนี้ลองมารู้จักกับประวัติความเป็นมาช็อคโกแลตและมาดูกันซิว่าช็อคโกแลตมาเกี่ยวพันกับวันวาเลนไทน์ได้อย่างไร......

ช็อกโกเลตพบเป็นครั้งแรกเมื่อ 4,000 กว่าปีมาแล้วในอาณาจักร Aztec และ Maya โดยเป็นเครื่องดื่มที่ผสมขึ้นมาจากเมล็ดของต้นโกโก้ และเรียกชื่อว่า Cocoatl ซึ่ง Emperor Montezuma นิยามว่าเป็นเครื่องดื่มที่ประทานลงมาจากสรวงสวรรค์เลยทีเดียว ในปี 1528 ซึ่งเป็นปีที่สเปนมีชัยชนะต่ออาณาจักร Aztec และ Maya จึงได้นำ Cocoatl กลับไปยังสเปนด้วยและตั้งชื่อให้ใหม่ว่า cho-co-Lah-tay และในปี 1615 ช็อคโกแลตก็ได้เผยโฉมต่อสังคมของอายรธรรมใหม่เป็นครั้งแรกในงานสมรสของเชื้อพระวงศ์แห่งฝรั่งเศสและจากนั้นก็จึงแพร่หลายเข้าสู่ประเทศอังกฤษ ในเวลาต่อมา ราวๆปี 1765 ช็อคโกแลตก็ได้ไปสู่ประเทศสหรัฐอเมริกาโดยนาย John Hanan ซึ่งได้รับความร่วมมือจาก Dr. James Baker ในด้านการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ ไม่นานโรงงานผลิตช็อคโกแลตแห่งแรกของโลกก็ได้ถือกำเนิดขึ้นเป็นครั้งแรกที่ประเทศอเมริกานั่นเอง ช่วงแรกๆ นั้นผู้ที่จะได้ลิ้มรสช็อคโกแลตจะเป็นเพียงผู้สูงศักดิ์หรือระดับเศรษฐีเท่านั้นเพราะว่าราคาแพงที่แสนแพงและถือเป็นของหายากชนิดหนึ่ง จนกระทั่งมีการปฏิวัติในฝรั่งเศสทำให้ระบบศักดินาล่มสลายลง ทำให้ช็อคโกแลตสามารถเข้าถึงประชาชนทั่วไปมากขึ้น โดยเฉพาะเมื่อวิทยาศาสตร์การแพทย์ค้นพบว่า ช็อคโกแลตสามารถรักษาอาการเกี่ยวกับช่องท้องได้ ทำให้ยิ่งเป็นที่นิยมอย่างแพร่หลาย ในช่วงแรกนั้นช็อคโกแลตยังไม่ได้มีส่วนประกอบมากมายอย่างที่เราเห็นในปัจจุบัน ยังคงเป็นเพียงแท่งโกโก้สีดำๆเท่านั้น จนมาภายหลังเมื่อมีการพัฒนามากขึ้นก็สามารถบรรจุส่วนผสมต่างๆ ลงไปได้มากขึ้น เช่น นมผง ครีม คาราเมล หรือ อัลมอนด์ ทำให้ช็อคโกแลตมีรสชาติที่หลากหลายและเป็นที่นิยมอย่างแพร่หลายมาจนถึงปัจจุบัน


จากตำนานของช็อคโกแลตที่นาวนานหลายพันปีนั้น ยังไม่พบรายงานใดที่บอกได้ว่าเหตุใดช็อกโกแลตถึงมาเกี่ยวข้องกับวันวาเลนไทน์ซึ่งเป็นวันสิ้นชีวิตของ St. Valentine ผู้ที่ศรัทธาในความรักมากกว่าสงครามเลย เพราะก่อนที่ท่านจะสิ้นลมหายใจ ท่านก็ได้มอบเพียง การ์ดใบเดียวพร้อมคำว่า "Love From Your Valentine" เท่านั้นเอง โดยที่ไม่มีช็อคโกแลตแนบไปให้คนรักด้วยแต่อย่างใด แต่ทั้งนี้ก็อาจจะเป็นได้ว่า เนื่องจากในยุคโรมันที่นักบุญวาเลนไทน์ได้เสียชีวิตนั้น ช็อคโกแลตยังเป็นของหายากจึงเป็นสิ่งที่มีค่าที่คนรักจะมอบแทนใจให้กันได้ จึงส่งไปพร้อมการ์ดและดอกไม้ ซึ่งสื่อความหมายของความรักมาแต่ไหนแต่ไรแล้วก็ได้ แล้วก็มอบกันไปมอบกันมาต่อเนื่องยาวนานจนกลายเป็นสัญญลักษณ์อย่างหนึ่งไป และอาจจะรวมไปถึงการที่ช็อคโกแลตเคยได้รับเกียรติเป็นสัญลักษณ์ของ เสรีภาพ มิตรภาพ และสันติภาพ ในช่วงที่ สงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลงด้วยก็ได้


วันจันทร์ที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

“ไวด์ แอคเซ็ส” บริการใหม่เน็ตไร้สายไม่ต้องมีเบอร์บ้าน.


เดี๋ยวนี้อะไรๆ ก็ต้องยกให้อินเตอร์เน็ตกันทั้งนั้น เสมือนเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตคนในยุคนี้เลยเชียว แถมเน็ตเดี๋ยวนี้ก็พัฒนาประสิทธิภาพขึ้นมาเลยๆ เพื่อสนองความต้องการของลูกค้าอย่างเราๆ ชาวไซเบอร์ จนตอนนี้เราสามารถใช้เน็ตไร้สายแบบไม่ต้องมีเบอร์บ้านกันได้แล้ว.

“ไวด์ แอคเซ็ส” น้องใหม่ให้บริการเชื่อมต่อบรอดแบนด์ สบช่องเจาะพื้นที่กรุงเทพฯ เหตุยังมีพื้นที่อินเตอร์เน็ตยังเข้า ไม่ถึงอีกมาก ระบุคนไทยเข้าถึงบรอดแบนด์ เพียง 2%

นายสันติ เมธาวิกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไวด์ แอคเซ็ส จำกัด กล่าวว่า ปัจจุบัน ยังมีผู้ใช้งานอินเตอร์เน็ตความเร็วสูง (บรอดแบนด์) ประมาณ 2% ของประชากร ตลาดจึง ยังมีโอกาส เติบโตอีก มาก แม้แต่พื้นที่ในเขต กรุงเทพฯ ก็ยังมีหลายจุดที่อินเตอร์เน็ตเข้าไม่ถึง เนื่องจากไม่มีเลขหมายโทรศัพท์ และสายโทรศัพท์เข้าไม่ถึง ดังนั้นบริษัทจึงให้บริการอินเตอร์เน็ตความเร็วสูงแบบไร้ สายผ่านเทคโนโลยี “ไวร์เลส เมส” (Wireless Mesh) ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่พัฒนาต่อยอดมาจากระบบไว-ไฟ โดยนำชิปใส่ไว้ใน “ไวด์ มินิ” (wide mini) เพื่อรับคำสั่ง โดยมีจุดเด่นที่สามารถกระจายสัญญาณอินเตอร์เน็ตไร้สายความเร็วสูงได้ครอบ คลุมบริเวณบ้าน และครอบคลุม 150 เมตร สำหรับนอกอาคาร

กลุ่มเป้าหมายหลักของบริษัท คือ โรงเรียน มหาวิทยาลัย คอนโดมิเนียม หมู่บ้านจัดสรร และอินเตอร์เน็ตไร้สายในชุมชนเมือง แม้บางพื้นที่จะใช้อินเตอร์เน็ตได้ แต่แนวโน้มการใช้งานอินเตอร์เน็ตของคนรุ่นใหม่เป็นแบบไร้สายมากขึ้น และมีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้น 100% ในอีก 3 ปี เนื่องจากอุปกรณ์ที่รองรับการใช้งานทั้งโน้ตบุ๊ก และโทรศัพท์มือถือ มีราคาถูก ขณะนี้ได้เริ่มติดตั้งไวด์ มินิให้กับคอนโดมิเนียมบางแห่ง

สำหรับช่องทางจัดจำหน่ายจะเน้นวางจำหน่ายผ่านอี-ช็อป หรือซื้อ-ขายผ่านเว็บไซต์ www.wide.me โดยค่าบริการบรอดแบนด์รายเดือนเท่ากับค่ายอื่นๆ 590 บาท ความเร็วในการรับ-ส่ง ข้อมูล 2 Mbps/วินาที มีจุดเด่นที่ลงทะเบียนเพื่อขอใช้บริการได้โดยไม่ต้องทำสัญญา และไม่ต้องมีเบอร์โทรศัพท์บ้าน.

วันจันทร์ที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2552

แนวโน้มภัยคุกคามไอทีปี 2552


บริษัท โกลบอลเทคโนโลยี อินทิเกรเทด จำกัด ประกาศแนวโน้มภัยคุกคามที่น่าจะเกิดขึ้นในปี 2552 ซึ่งจะนำไปสู่ 8 แนวโน้มเทคโนโลยีด้านความมั่นคงปลอดภัยที่เชื่อว่าจะมาแรงในปีฉลู

"ภัยคุกคามที่น่าจะเกิดขึ้นในปี 2552 ก็คงไม่ต่างจากปี 2551 นัก แต่จะมีเทคนิคใหม่ เพิ่มความสลับซับซ้อนขึ้น ด้วยช่องทางการเข้าถึงข้อมูลที่หลากหลายยิ่งขึ้น โดยเฉพาะในเรื่อง Personal Mobile Devices ที่ใช้มือถือเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ต และมีการใช้ซอฟต์แวร์ต่างๆ ผ่านเว็บแอปพลิเคชันมากขึ้น" โกลบอลเทคโนโลยี อินทิเกรเทด ระบุในบทความ

โกลบอลเทคโนโลยีฯ เชื่อว่าปี 2552 จะเกิดภัยคุกคามในรูปแบบที่เรียกว่า Zombie หรือ “ผีดิบซอฟต์แวร์” จำนวนมาก ภัยที่ถูกเรียกรวมว่า Botnet นี้เชื่อว่าจะแพร่กระจายทางโทรศัพท์มือถือมากขึ้นในอนาคต จนอาจเกิดการโจมตีในหลายรูปแบบ เช่น DDoS/DoS ที่ทำให้เป้าหมายไม่สามารถปฏิบัติงานได้, การส่งข้อมูลขยะอันไม่พึงประสงค์ (Spam), การหลอกลวงผ่านสื่ออินเตอร์เน็ต (Phishing) ตลอดจนการเจาะระบบ (Hack) เพื่อเข้าถึงข้อมูลชั้นความลับ

โกลบอลเทคโนโลยีฯ จึงมองว่า เทคโนโลยีด้านความมั่นคงปลอดภัยจะมีพัฒนาการมากขึ้นในปี 2552 ดังนี้

1. เทคโนโลยี Two-Factor Authentication ปัจจุบันการระบุตัวตนในโลกอินเตอร์เน็ต ส่วนใหญ่ใช้เพียง username และ password ซึ่งเป็นจุดอ่อนที่มิจฉาชีพอาจขโมยข้อมูลและปลอมตัวเพื่อแสวงประโยชน์ได้ (Identity Threat) เทคโนโลยีนี้จึงมีแนวโน้มเข้ามาอุดช่องโหว่ ด้วยการใช้ Token หรือ Smart card ID เข้ามาเสริมเพื่อเพิ่มปัจจัยในการพิสูจน์ตัวตน ซึ่งมีความจำเป็นโดยเฉพาะกับการทำธุรกรรมทางการเงินออนไลน์ และธุรกิจ E-Commerce

2. เทคโนโลยี Single Sign On (SSO) เข้าระบบต่างๆ ด้วยรายชื่อเดียว โดยเชื่อมทุกแอปพลิเคชันเข้าด้วยกัน ซึ่งมีความจำเป็นมากในยุค Social Networking ช่วยให้เราไม่ต้องจำ username / password จำนวนมาก สำหรับอีเมล์, chat, web page รวมไปถึงการใช้บริการ Wi-Fi / Bluetooth / WiMAX / 3G / 802.15.4 สำหรับผู้ให้บริการ เป็นต้น

3. เทคโนโลยี Cloud Computing เมื่อมีการเก็บข้อมูลและใช้งานแอปพลิเคชันต่างๆ มากขึ้นตามการขยายตัวของระบบงานไอที ส่งผลให้เครื่องแม่ข่ายต้องประมวลผลการทำงานขนาดใหญ่ ให้ตอบสนองความต้องการของผู้ใช้ในเวลาอันรวดเร็ว จึงมีแนวคิดเทคโนโลยี Clustering เพื่อแชร์ทรัพยากรการประมวลผลที่ทำงานพร้อมกันหลายเครื่องได้ เมื่อนำแอปพลิเคชันมาใช้ร่วมกับเทคนิคนี้ รวมเรียกว่า Cloud Computing ทำให้ผู้ใช้สามารถใช้งานแอปพลิเคชันได้รวดเร็วยิ่งขึ้น ปราศจากข้อจำกัดทางกายภาพ เข้าสู่ยุคโลกเสมือนจริงทางคอมพิวเตอร์ (visualization) ทั้งยังช่วยลดทรัพยากรของเครื่องคอมพิวเตอร์ ถือเป็นไอทีที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม (Green IT) อีกด้วย

4. เทคโนโลยี Information Security Compliance Law โลกไอทีเจริญเติบโตไม่หยุดนิ่ง ด้วยมาตรฐานที่หลากหลาย โดยเฉพาะในด้านระบบความปลอดภัยข้อมูลสารสนเทศ จึงมีแนวโน้มจัดมาตรฐานเป็นหมวดหมู่ให้สอดคล้องกับความปลอดภัยข้อมูลในองค์กร โดยนำ Log ที่เกิดขึ้นจากการใช้งานมาจัดเปรียบเทียบตามมาตรฐานต่างๆ เช่น ISO27001 สำหรับความปลอดภัยในองค์กร, PCI / DSS สำหรับการทำธุรกรรมการเงิน , HIPAA สำหรับธุรกิจโรงพยาบาล หรือ พรบ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ ที่มีเป้าหมายเพื่อสืบหาผู้กระทำความผิดด้านอาชญากรรมคอมพิวเตอร์ เป็นต้น

5. เทคโนโลยี Wi-Fi Mesh Connection การใช้งานระบบอินเตอร์เน็ตไร้สายที่แพร่หลายในปัจจุบัน ซึ่งต้องเชื่อมโยงผ่าน Access Point นั้น สามารถเชื่อมต่อแบบ Mesh (ตาข่าย) เพื่อเข้าถึงโลกออนไลน์ได้สะดวกขึ้น ผู้ให้บริการ Wi-Fi จึงมีแนวโน้มใช้แอปพลิเคชันในการเก็บบันทึกการใช้งานผู้ใช้ (Accounting Billing) และนำระบบ NIDS (Network Intrusion Detection System) มาใช้ เพื่อเฝ้าระวังการบุกรุกหลากรูปแบบ เช่น การดักข้อมูล, การ crack ค่า wireless เพื่อเข้าถึงระบบ หรือปลอมตัวเป็นบุคคลอื่นโดยมิชอบ เป็นต้น

6. เทคโนโลยีป้องกันทางเกตเวย์แบบรวมศูนย์ (Unified Threat Management) ถึงแม้เทคโนโลยีนี้จะใช้กันอย่างแพร่หลายในปัจจุบัน แต่ก็ยังต้องกล่าวถึงเนื่องจากธุรกิจในอนาคตมีแนวโน้มเป็น SME มากขึ้น และเทคโนโลยีนี้ถือได้ว่ามีประโยชน์กับธุรกิจขนาดเล็ก เพราะผนวกการป้องกันในรูปแบบ Firewall / Gateway, เทคโนโลยีป้องกันข้อมูลขยะ (Spam) การโจมตีของ Malware/virus/worm รวมถึงการใช้งานเว็บไซต์ที่ไม่เหมาะสม (Content filtering) รวมอยู่ในอุปกรณ์เดียว

7. เทคโนโลยีเฝ้าระวังเชิงลึก (Network Forensics) การกลายพันธุ์ของ Virus/worm computer ทำให้ยากแก่การตรวจจับด้วยเทคนิคเดิม รวมถึงพนักงานในองค์กรมีทักษะการใช้คอมพิวเตอร์สูงขึ้น ซึ่งอาจจะใช้ทักษะไปในทางที่ไม่เหมาะสม หรือเรียกได้ว่าเป็น “Insider hacker” การมีเทคโนโลยีเฝ้าระวังเชิงลึกจึงจำเป็นอย่างยิ่งในการตรวจจับสิ่งผิดปกติที่อาจเกิดขึ้นผ่านระบบเครือข่าย เพื่อใช้ในการพิสูจน์หาหลักฐานทางอิเล็กทรอนิกส์ประกอบการดำเนินคดี

8. เทคโนโลยี Load Balancing Switch สำหรับ Core Network เพื่อใช้ในการป้องกันการสูญหายของข้อมูล (Data loss) โดยเฉพาะในอนาคตที่ความเร็วในการรับส่งข้อมูลบนระบบเครือข่ายจะสูงขึ้น เทคโนโลยีนี้จะช่วยกระจายโหลดไปยังอุปกรณ์ป้องกันภัยอื่นๆ ได้ เช่น Network Firewall หรือ Network Security Monitoring และอื่นๆ โดยไม่ทำให้ข้อมูลสูญหาย

โกลบอลเทคโนโลยีฯ ย้ำด้วยว่าปัจจุบันแฮกเกอร์ไม่ได้มีเป้าหมายเจาะระบบเครือข่ายธนาคารหรือผู้ให้บริการธุรกรรมออนไลน์เท่านั้น แต่ได้เปลี่ยนเป้าหมายเป็นผู้ใช้งานอินเตอร์เน็ต ซึ่งเข้าถึงได้ง่ายกว่าแทน โดยอาศัยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของผู้ใช้งานทั่วไปเป็นเครื่องมือ โกลบอลเทคโนโลยีฯ จึงแนะนำ 8 วิธีรู้เท่าทันและไม่ตกเป็นเหยื่อภัยคุกคามสมัยใหม่ดังนี้

1.หมั่นดูแลเครื่องคอมพิวเตอร์ เครื่องบรรจุข้อมูล (Thumb Drive) และแผ่นบันทึกข้อมูล อย่างสม่ำเสมอ ให้ปลอดจากไวรัสหรือมัลแวร์ต่างๆ, กำหนดรหัสผ่านเข้าใช้งาน PC และ Thumb Drive และล็อคหน้าจอทุกครั้งเมื่อเลิกใช้งาน

2.ตั้งรหัสผ่านที่ยากแก่การคาดเดา อย่างน้อย 8 ตัวอักษร และมีอักขระพิเศษ คำที่ใช้เป็น password ไม่ควรตรงกับพจนานุกรม เพื่อเลี่ยงภัยคุกคามที่เรียกว่า Brute force password จากผู้ไม่ประสงค์ดี

3.อย่าไว้วางใจเมื่อเห็นสัญญาณอินเตอร์เน็ตที่ให้บริการฟรี ไม่ว่าจะเป็นระบบไร้สาย หรือมีสาย ตลอดจนโปรแกรมต่างๆ ที่ให้ดาวน์โหลดฟรี เพราะมิจฉาชีพอาจให้โดยตั้งใจใช้ดักข้อมูลส่วนตัวของเรา เช่น username/password หรือข้อมูลบัตรเครดิต และนำข้อมูลไปใช้สร้างความเสียหายได้

4.อย่าไว้วางใจโปรแกรมประเภทที่มีชื่อดึงดูดใจให้ดาวน์โหลดฟรี เช่น คลิปฉาว, โปรแกรม Crack Serial Number, โปรแกรมเร่งความเร็ว เป็นต้น เพราะบ่อยครั้งที่มีของแถม เช่น Malware พ่วงมาด้วยเสมอ ซึ่งอาจทำให้เราตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพโดยไม่รู้ตัว

5.ในแง่บุคคล ควรหมั่นเก็บสำรองข้อมูลใน Storage ส่วนตัว อย่าให้สูญหาย กรณีเกิดเหตุฉุกเฉินขึ้นสามารถหยิบมาใช้ได้ทันท่วงที ส่วนในมุมขององค์กรควรให้ความสำคัญกับการทำแผนสำรองข้อมูลฉุกเฉิน ทั้งการทำ Business Continuity Plan (BCP) และ Disaster Recovery Plan (DRP)

6.ดำเนินชีวิตโดยไม่ยึดติดกับสื่ออิเล็กทรอนิกส์ ที่เข้าครอบงำชีวิตคนยุคใหม่มากขึ้น โดยการไม่ถลำลึกบนโลกเสมือน สังคมเสมือน ซึ่งเป็นหลุมพรางที่สร้างขึ้นเอง จึงต้องป้องกันโดยการยับยั้งชั่งใจ และสร้างสมดุลให้กับชีวิต

7.ใช้วิจารณญาณไตร่ตรองข้อมูลทางอินเตอร์เน็ต โดยตั้งสติและมองเหตุผลให้รอบด้าน เพื่อป้องกันตัวเองจากภัยคุกคามที่มาในรูปแบบการล่อลวงผ่านทางอีเมล์ / เว็บไซต์

8.มีจริยธรรมในการใช้สื่ออินเตอร์เน็ต เอาใจเขามาใส่ใจเราทุกครั้ง โดยเฉพาะการสื่อสารกันในยุคเทคโนโลยีไร้พรมแดนเช่นนี้ ซึ่งไม่เพียงเป็นผลดีในระยะยาว แต่ยังโอบอุ้มสังคมให้สงบสุข และนำไปสู่ความปลอดภัยในการใช้สื่อ

วันอาทิตย์ที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2552

พบแล้วรักแท้


นักวิทยาศาสตร์ใช้ผลการสแกนสมองเพื่อพิสูจน์ว่ารักแท้มีจริง โดยผลการทดลองได้แสดงให้เห็นว่าคู่รักที่รักกันมากว่ายี่สิบปีมีรูปแบบการตอบสนองในสมองแบบเดียวกับคู่รักข้าวใหม่ปลามัน

ทีมนักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยสโตนีบรูคได้ใช้ภาพสแกนสมองของคู่รักที่รักกันมากว่ายี่สิบปี เทียบกับของคู่รักที่พึ่งรักกันใหม่ ๆ แล้วพวกเขาพบว่าหนึ่งในสิบของคู่รักที่อยู่กันมานานมีรูปแบบของปฏิกิริยาเคมีในสมองเมื่อเห็นรูปของคู่รักแบบเดียวกับคนที่พึ่งมีความรักใหม่ ๆ

จากงานวิจัยที่เคยมีผู้ทำก่อนหน้านี้ชี้ให้เห็นว่าในระยะแรกเมื่อเริ่มมีความรัก อารมณ์ของเราจะเปลี่ยนแปลงได้ง่าย และมักจะหมกมุ่นอยู่กับเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ซึ่งนักจิตวิทยาเรียกว่า Limerence แต่ภาวะเช่นนี้จะเริ่มลดลงไปเมื่อเวลาผ่านไปประมาณสิบห้าเดือน และหายไปอย่างถาวรในช่วงเวลาสิบปี แต่ผลการทดลองครั้งนี้ใช้ให้เห็นว่าแม้แต่ในคู่รักที่รักกันมานาน ๆ ก็ยังสามารถพบภาวะเช่นนี้ได้เช่นเดียวกัน ซึ่งนักวิจัยเรียกคู่รักแบบนี้ว่า หงษ์คู่ เพราะว่าหงษ์เป็นสัตว์ที่เราพบว่ามีรูปแบบของพฤติกรรมแบบเดียวกัน โดยถ้าหงษ์ได้เห็นรูปของคู่ของมัน ผลของการสแกนสมองด้วย MRI จะแสดงภาวะที่ Dopamine ซึ่งเป็นสารเคมีในสมองที่กระต้นให้เกิดความพึงพอใจ ถูกแพร่กระจายเต็มสมองแบบเดียวกับคู่รักที่เป็นมนุษย์

นักวิทยาศาสตร์สรุปว่า ผลการทดลองได้ขัดแย้งกับความเชื่อดั้งเดิมที่เชื่อกันว่าความรักจะหวานช่ำที่สุดเมื่อคบกันไปได้ 12-15 เดือนและจะลดลงมากที่สุดเมื่อคบกันไปได้ 3-7 ปี (อันเป็นที่มาของความเชื่อเรื่อง 3 ปี หรือ 7 ปี อันตรายนั่นเอง)

วันจันทร์ที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2552

จุดเปลี่ยนที่ทำให้เวียดนามจะแซงไทยไปอีกไกล

http://www.tourismlogistics.com
Written by คมสัน สุริยะ

วันที่ผมเขียนเรื่องนี้อยู่คือวันที่บอลเวียดนามเป็นแชมป์ระดับอาเซียนครั้งแรกในประวัติศาสตร์เวียดนาม โดยเสมอกับไทยที่ฮานอย 1 ต่อ 1 เมื่อรวมสองนัดเราแพ้ 2 ต่อ 3 จากนัดแรกที่แพ้คาบ้านมา 1 ต่อ 2 ผมจะไม่เขียนต่อว่าทีมชาติไทยเพราะกีฬาก็คือกีฬา มีแพ้มีชนะ ผู้แพ้ไม่ได้แพ้ตลอดไป และผู้ชนะไม่ได้ชนะตลอดไป แต่สิ่งที่ผมอยากจะบอกเพื่อนคนไทยด้วยกันคือ วันนี้คือวันที่คนเวียดนามรอคอย วันที่ล้มไทยได้

เพื่อนผมชาวเวียดนามบอกกับผมเมื่อประมาณ 10 ปีที่แล้วว่า คนเวียดนามคิดว่าตามไทยอยู่ประมาณ 20 ปี แปลว่าอะไรครับ แปลว่าหากทั้งสองประเทศมีการเติบโตเท่า ๆ กัน เวียดนามจะตามเราอยู่ห่าง ๆ ตลอดไป แต่ถ้าเวียดนามวิ่งเร็วกว่าก็น่าจะตามทันไทยได้ในปีที่ 20 เพื่อนผมคนเดิมบอกว่าเวียดนามมีความมุ่งมั่นที่จะตามไทยให้ทัน (และมุ่งมั่นจะแซงด้วย) โดยเริ่มแรกเวียดนามจะจัดซีเกมส์ และจะเอาชนะบอลไทยในซีเกมส์ให้ได้

ผลปรากฏว่าเวียดนามจัดซีเกมส์ได้จริง แต่บอลยังแพ้ไทยอยู่ วันนั้นเวียดนามก็เศร้ากันไปทั้งประเทศ แต่ต่อมาเมื่อเขาตั้งหน้าตั้งตาพัฒนาบอลในประเทศอย่างจริงจังโดยการจัดการแข่งขันฟุตบอลภายในประเทศอย่างเป็นระบบ พร้อมทั้งดึงชาวต่างชาติรวมทั้งคนไทยเข้าไปเป็นทั้งผู้เล่นและผู้ฝึกสอน ผลปรากฏว่ายังล้มลุกคลุกคลานมาอีกหลายปี บอลเวียดนามก็ยังแพ้ไทยอยู่ และไป ๆ มา ๆ ยังโดนเรื่องล้มบอลอีก กลายเป็นวิกฤติมากกว่าความรุ่งเรือง แต่กระนั้นความตั้งใจของเวียดนามก็ยังไม่จางหายไป การฝึกซ้อมอย่างหนักภายใต้โค้ชคนใหม่นามว่า เฮนริเก้ คาลิสโต ชาวโปรตุเกส ภายใต้ความเอาจริงเอาจังเรื่องการปราบปรามการล้มบอลทำให้เวียดนามแข็งแกร่งขึ้นมาก โดยเฉพาะการเล่นลูกกับพื้นและทักษะเฉพาะตัวของผู้เล่น
โดยปกติคนเวียดนามเกรงคนไทย ไม่ได้กลัวแต่เกรง เพราะว่าบอลเวียดนามไม่เคยชนะไทยเลย มันเหมือนข่มกันอยู่ในที แต่วันนี้วันที่เวียดนามพลิกกลับมาชนะไทยได้ในวินาทีสุดท้ายของการแข่งขัน บอลกลม ๆ ลูกนั้นที่ผู้เล่นเวียดนามหมายเลข 9 โหม่งเช็ดเข้าประตูไทยได้จะทำให้ความรู้สึกที่คนเวียดนามเคยเกรงคนไทยหายไป นี่คือจุดเปลี่ยนที่จะเปลี่ยนให้เวียดนามยิ่งวิ่งเร็วขึ้นและก้าวไปข้างหน้าอย่างไม่หยุดยั้ง

เราคนไทยกลับมาตั้งคำถามกันดีกว่าว่าแล้วคนไทยมีอะไรดีกว่าเวียดนาม เราเคยถามคำถามนี้กับคนญี่ปุ่น แต่ก็เลิกไปเพราะถามไปก็ไม่มีอะไรดีขึ้นที่จะทำให้ไทยเหนือกว่าญี่ปุ่น เราก็ปล่อยญี่ปุ่นไปตามทางของเขา เราก็อยู่ส่วนเรา แล้วพวกญี่ปุ่นก็มาเที่ยวอาบอบนวดที่เมืองไทย ซื้ออสังหาริมทรัพย์ที่เมืองไทย (ผ่านตัวแทน) แห่กันมาอยู่เมืองไทย แล้วมีไหมครับในทางกลับกันที่ไทยจะทำอย่างนั้นกับญี่ปุ่นได้บ้าง แทบจะไม่มีทาง

เราก็เปลี่ยนเป้าหมายใหม่เอาที่ใกล้ตัวหน่อยคือสิงคโปร์ เราก็กำลังถามคำถามเดียวกันนี้กับชาวสิงคโปร์อยู่ดี ๆ และยังไม่ได้คำตอบ ก็โดนฟ้าผ่าให้ต้องมาตั้งคำถามนี้กับชาวเวียดนามขึ้นมาในวันนี้ว่า คนไทยมีอะไรดีกว่าเวียดนาม คนไทยทำอะไรได้ดีกว่าเวียดนาม เราเรียนเก่งกว่าหรือ เราฉลาดกว่าหรือ เราเล่นกีฬาเก่งกว่าหรือ เรามีระบบการจัดการที่ดีกว่าหรือ เรามีเทคโนโลยีที่ดีกว่าหรือ เราทำสินค้าส่งออกได้ดีกว่าหรือ เราปั่นหุ้นได้เก่งกว่าหรือ เรามีความสงบเรียบร้อยภายในประเทศมากกว่าอย่างนั้นหรือ หรือเรายิ้มเก่งกว่าเท่านั้น

วันนี้เป็นจุดเปลี่ยนที่ชาวเวียดนามจะได้รับความรู้สึกของความเหนือกว่าคนไทย พวกเขาจะไม่หยุดอยู่แค่นี้ เขาจะพยายามเอาชนะไทยทุกทาง ไม่เพียงแต่เรื่องกีฬา แต่ทั้งเศรษฐกิจ วิทยาศาสตร์ และสังคม คนไทยยังไม่ทันก้าวไปทันสิงคโปร์ก็โดนเวียดนามไล่หลังมาติด ๆ แล้ว ไม่มีอีกแล้วครับ 20 ปีที่เวียดนามตามหลังเรา ตอนนี้ถือว่าไทยกับเวียดนามเสมอกันแล้ว และไทยกำลังเริ่มล้าเพราะพิษการเมืองในประเทศและพิษเศรษฐกิจโลก

มันถึงเวลาแล้วที่เราต้องค้นหาคำตอบที่ชัดเจนสำหรับตัวเราเองว่าเราเก่งด้านไหน ทำดีกว่าด้านไหน อะไรที่จะทำให้เราพอจะมีที่ยืนในเวทีโลก ไม่ใช่เพียงการขายฝันลม ๆ แล้ง ๆ เช่น บอลไทยจะไปบอลโลก หรือการเป็นหนึ่งทางด้านวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีของโลก แล้วเราจะต้องพัฒนาคนของเราอย่างจริงจังแล้ว ก่อนที่เราจะต้องปล่อยให้ทั้งญี่ปุ่น เกาหลี จีน สิงคโปร์ และ เวียดนามไปตามทางของเขา และเราก็อยู่อย่างนี้ของเราต่อไป

วันพุธที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2551

วันจันทร์ที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2551

เคล็ดลับ วิธีดูแลโน๊ตบุ๊คคู่ใจ ให้อยู่กับคุณไปนาน ๆ




วิธีดูแล โน๊ตบุ๊ค คู่ใจ ให้อยู่ข้างกายไปนาน...นาน ไม่ว่าจะเป็น โน๊ตบุ๊ค หรือของใช้อะไรก็ตาม จำเป็นที่เราจะต้องทำความรู้จักสิ่งนั้นให้มากที่สุดเพื่อที่จะได้เรียนรู้ และเข้าใจถึงจุดเด่น ศักยภาพ ความสามารถและข้อจำกัด รวมไปถึงจุดอ่อนที่พึงระวัง

ฉบับ นี้ขอนำข้อมูลจากบทความ "รอบทิศไอที" ของ สุรพงษ์ เกียรติพงสา คณะเทคโนโลยีสารสนเทศ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) มานำเสนอเกี่ยวกับวิธีการดูแลโน้ตบุ๊ก เพื่อให้มีอายุการใช้งานไปนาน และคุ้มค่าการลงทุน เช่นต้องดูว่า โน๊ตบุ๊คที่ใช้อยู่นั้นทำมาจากวัสดุแบบไหน แข็งแรงหรือเปราะบางแค่ไหน ถ้าเกิดมีปัญหาที่ตัววัสดุแต่ละชิ้นจะมีอะไหล่ที่หาเปลี่ยนได้ง่ายหรือไม่ การปรับเปลี่ยนเพิ่มอุปกรณ์ต่อพ่วงอื่นๆ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถของโน้ตบุ๊กทำได้ง่ายหรือไม่ สิ่งต่างๆ เหล่านี้เป็นข้อมูลที่จำเป็นต้องเรียนรู้ให้มากที่สุดก่อน ตัดสินใจซื้อ และการดูแลแหล่งพลังงานของโน๊ตบุ๊คและปลุกให้กระชุ่มกระชวยตลอดเวลาถือเป็น เรื่องสำคัญ

ถ้าอาหาร คือแหล่งพลังงานของคน แบตเตอรี่ก็คือแหล่งพลังงานของ โน๊ตบุ๊ค ดังนั้นจึงควรดูแลแบตเตอรี่ของโน๊ตบุ๊คให้ดีเพื่อให้สามารถจ่ายพลังงานให้ กับโน้ตบุ๊กต่อการใช้งานครั้งหนึ่งได้นานๆ ขณะที่บางคนกังวลว่า ควรถอดแบตเตอรี่ออกหรือไม่เวลาต่อ โน๊ตบุ๊คแล้วใช้พลังไฟฟ้าจากแหล่งจ่ายไฟ โน๊ตบุ๊ค รุ่นใหม่ๆ มีระบบป้องกันแบตเตอรี่ที่ค่อนข้างดี ทำให้ไม่ต้องกังวลเวลาใช้งาน โน๊ตบุ๊คที่ใส่แบตเตอรี่ทิ้งไว้แล้วต่ออะแดปเตอร์กับไฟบ้าน ซึ่งเป็นกรณีเดียวกับที่เวลาชาร์จไฟแบตเตอรี่เต็มแล้วต้องถอดอะแดปเตอร์ออก ไหม? หายกังวลได้เลย เพราะแบตเตอรี่รุ่นใหม่ๆ จะมีวงจรที่ช่วยจัดการเรื่องพวกนี้ให้อยู่แล้ว

โดยปกติแบตเตอรี่ โน๊ตบุ๊คจะมีอายุการใช้งานประมาณ 3-5 ปี แต่กับบางยี่ห้อที่ดีๆ ก็อาจยาวนานไปถึง 6 ปีเลยก็ได้ สำหรับใครที่อยากจะยืดอายุการใช้งานแบตเตอรี่ให้ยาวนานเต็มประสิทธิภาพ ไม่เดี้ยงไปซะก่อนครบรอบอายุการใช้งาน มีคำแนะนำดังนี้ อย่างแรกคือ แบตเตอรี่ เป็นพวกไม่ชอบอากาศร้อน เพราะฉะนั้นจึงไม่ควรเก็บแบตเตอรี่ หรือใช้ โน๊ตบุ๊ค ในที่ที่มีอุณหภูมิสูงเป็นเวลานาน โดยอุณหภูมิที่จะช่วยรักษาสภาพของแบตเตอรี่ไว้ได้ยาวนานคือประมาณ 25 องศาเซลเซียส

อันดับต่อมา เวลาที่จะต้องชาร์จแบตเตอรี่ครั้งใหม่ ไม่ควรรอให้แบตเตอรี่หมดเกลี้ยงแล้วค่อยนำมาชาร์จ (ถ้าไม่จำเป็นจริงๆ) ควรชาร์จไฟใหม่ เมื่อมีการใช้งานแบตเตอรี่ไปสักครึ่งหนึ่ง หรือประมาณ 50-60% เพราะจะช่วยไม่ให้เกิดความร้อนสะสมอันเป็นตัวนำมาซึ่งการเสื่อมสภาพของ แบตเตอรี่ และควรระมัดระวังการทำแบตเตอรี่หล่นบนพื้นแข็งๆ หรือเกิดการกระแทกอย่างรุนแรง เพราะจะส่งผลกระทบต่อการทำงานของแบตเตอรี่ได้ แบตเตอรี่ปลอมก็เป็นอีกสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงและต้องระมัดระวัง เพราะนอกจากส่งผลต่อการทำงานของคอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊คแล้ว ยังอาจส่งผลต่อความปลอดภัยของผู้ใช้งานด้วย เพราะอาจเสี่ยงต่อการเกิดไฟฟ้าลัดวงจร การไหม้ หรือระเบิดได้

นอกจาก นี้ยังมีอีกหลายประเด็นที่ผู้ใช้งานโน๊ตบุ๊ค ควรใส่ใจ เพื่อป้องกันปัญหา โดยเฉพาะเรื่อง "ความร้อน" ซึ่งแทบจะเป็นสาเหตุต่างๆ ของปัญหาระหว่างการใช้งานโน๊ตบุ๊คเลยก็ว่าได้ ไม่ว่าจะเป็นอาการแฮงก์ ค้างไปเฉยๆ ระหว่างการทำงาน เรื่องของพลังงานที่โน๊ตบุ๊คต้องจัดการจ่ายให้กับอุปกรณ์ต่างๆ ภายในเครื่องที่เป็นข้อจำกัด ทำให้ต้องรู้จักจัดการเรื่องการใช้พลังงานภายในเครื่องโน๊ตบุ๊คอย่างดี เพื่อช่วยให้การทำงานที่ราบรื่นและการยืดอายุการใช้งานโน๊ตบุ๊คได้อีกด้วย อย่างเรื่องการแชร์หน่วยความจำเครื่องให้กับหน่วยประมวลผลกราฟิก ควรแชร์ให้เท่าที่ความจำเป็นต่อการใช้งาน ยกตัวอย่าง ใช้โน๊ตบุ๊คพิมพ์งานเอกสารทั่วไป เล่นเน็ต ฟังเพลง ก็แชร์แรมไปให้กราฟิกแค่ 8 Mb ก็น่าจะเพียงพอ แต่ถ้าเริ่มดูหนัง เล่นเกมออนไลน์ ก็สัก 16-32 Mb แต่ถ้าเริ่มมีภาพ 3D หรือใช้โปรแกรมกราฟิกเล็กๆ น้อยๆ ก็ต้อง 64Mb ขึ้นไป หรืออย่างเวลาไม่ได้ใช้งานฟังก์ชั่นไร้สายต่างๆ เช่น Wi-Fi, Bluetooth หรือแม้แต่อินฟราเรด ก็ควรปิดการใช้งานไปซะ จะช่วยลดการใช้พลังงานภายในเครื่องได้อีกเยอะ

ที่มา :ประชาชาติธุรกิจ

วันเสาร์ที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2551

ไขปริศนาเลขบัตรประชาชนไทยทั้ง 13 หลัก อยากรู้มั้ย ว่าแต่ละตำแหน่งหมายถึงอะไร

13 เลขนี้ มีความสำคัญยิ่ง เพราะเป็นการสำแดงตัวตน “ความเป็นคนไทยหรือคนในประเทศไทย” ที่ทำให้เราสามารถอาศัยอยู่ในประเทศไทย และใช้สิทธิอย่างถูกต้องตามกฎหมายได้


โดย ความเป็นจริงแล้ว ไม่ว่าจะเรียนหรือทำอะไร ตัวเลขก็ล้วนมีเอี่ยว หรือมายุ่งเกี่ยวกับชีวิตประจำวันของคนเราเสมอ และในทางกลับกัน ตัวเลขบางตัวอาจจะทำให้เรามีความสุขขึ้นด้วยซ้ำ เช่น ตัวเลขเพิ่มขึ้นของเงินเดือนหรือโบนัส ตัวเลขในบัญชีรายรับ ตัวเลขมูลค่าเพิ่มของหุ้นที่เราซื้อ ฯลฯ ยกเว้น ตัวเลขดอกเบี้ยเงินกู้ ที่งามโดยไม่ต้องรดน้ำ หรือตัวเลขยอดหนี้ที่ยังไม่จ่าย ส่วนตัวเลขที่น่ารังเกียจอีกตัว คือ ตัวเลขอายุที่เพิ่มขึ้นของสาวๆ ที่ยังไม่แต่งงาน เป็นต้น


นอกเหนือจากที่กล่าวมาแล้ว ยังมี “ตัวเลข” ที่ เกี่ยวพันกับความเชื่อต่างๆ ทั้งของไทยและต่างประเทศอีกหลายตัว เช่น คนไทยถือว่า เลข 9 เป็นเลขมงคล เพราะออกเสียงว่า “เก้า” ที่พ้องกับคำว่า “ก้าว” อันหมายถึง ความเจริญก้าวหน้า ด้วยเหตุนี้ ในปัจจุบัน เราจึงเห็นคนไทยจำนวนไม่น้อย ไปทัวร์ไหว้พระ 9 วัดเพื่อความเป็นสิริมงคล จนได้กลายมาเป็นการ “ทำบุญ” อีกรูปแบบที่นิยมกันอย่างแพร่หลาย


สำหรับฝรั่ง เขาจะถือว่า เลข 13 เป็นเลขอาถรรพ์ หรือเลขอัปมงคล หรือเรียกกันว่า ลัคกี้นัมเบอร์ (Lucky number) สาเหตุมาจากอาหารมื้อสุดท้าย ของพระเยซูคริสต์ ที่เรียกกันว่า เดอะลาสซับเปอร์ (The Last Supper) นั้น มีสาวกร่วมโต๊ะพร้อมกับพระองค์ นับรวมแล้วได้ 13 คนพอดี ครั้นวันรุ่งขึ้นซึ่งตรงกับวันศุกร์ พระองค์ก็ถูกจับตรึงกางเขนจนสิ้นพระชนม์ เขาจึงถือว่าวันศุกร์ที่ตรงกับวันที่ 13 เป็นวันโชคร้าย


แม้ว่า เลข 13 จะเป็นเลขอาถรรพ์ของฝรั่ง แต่คนไทยโดยทั่วไป ไม่ได้ถือกับตัวเลขดังกล่าว และที่น่าสนใจคือ มี เลข 13 ที่เกี่ยวพันโดยตรงกับคนไทย ซึ่งเชื่อว่า คงมีคนอีกไม่น้อยไม่เคยทราบมาก่อน นั่นคือ เลขประจำตัวประชาชนในบัตรประชาชน หรือที่เดี๋ยวนี้เรียก สมาร์ทการ์ด ที่มีด้วยกัน 13 หลัก และแต่ละหลักก็มิใช่แค่เป็นเพียงจำนวนนับธรรมดาๆ แต่มีความหมายแฝงอยู่ด้วย ซึ่งกลุ่มประชาสัมพันธ์ สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ กระทรวงวัฒนธรรม ขอนำมาเสนอเพื่อเป็นความรู้ ดังนี้


สมมุติว่า เลขบัตรประชาชนของเราเขียนไว้ว่า 1 1001 01245 29 9 (เขียนเว้นวรรค ตามแบบ) แต่ละหลักก็จะมีความหมายดังนี้

หลักที่ 1 (คือหมายเลข 1 ในตัวอย่าง) จะหมายถึง ประเภทบุคคล ซึ่งมีอยู่ 8 ประเภทได้แก่

ประเภทที่ 1 คือ คนที่เกิดและมีสัญชาติไทย และได้แจ้งเกิดภายในกำหนดเวลา หมาย ความว่า เด็กคนใดก็ตามที่เกิดตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ.2527 เป็นต้นไป อันเป็นวันเริ่มแรกที่เขาประกาศให้ประชาชนทุกคน ต้องมีเลขประจำตัว 13 หลัก เมื่อพ่อแม่ผู้ปกครองไปแจ้งเกิดที่อำเภอ หรือสำนักทะเบียนในเขตที่อยู่ภายใน 15 วันนับแต่เกิดมา ตามที่กฎหมายกำหนด เด็กคนนั้นก็ถือเป็นบุคคลประเภท 1 และจะมีเลขประจำตัวขึ้นด้วยเลข 1 เช่น เด็กหญิงส้มจี๊ด เกิดเมื่อวันที่ 2 มกราคม 2527 และพ่อไปแจ้งเกิดที่เขตดุสิตภายในวันที่ 17 มกราคม 2527 เด็กหญิงส้มจี๊ด ก็จะมีหมายเลขประจำตัวขึ้นต้นด้วยเลข 1 และก็ต่อด้วยเลขหลักอื่นๆ อีก 12 ตัว เป็น 1 1001 01245 29 9 เป็นต้น ซึ่งเลขนี้จะปรากฏในทะเบียนบ้าน และจะเป็นเลขประจำตัว เมื่อส้มจี๊ดไปทำบัตรประชาชนตอนอายุ 15 ปี

ประเภทที่ 2 คือ คนที่เกิดและมีสัญชาติไทย ได้แจ้งเกิดเกินกำหนดเวลา หมาย ความว่า เด็กคนใดก็ตามที่เกิดตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2527 เป็นต้นไป แล้วบังเอิญว่าพ่อแม่ผู้ปกครองลืมหรือติดธุระ ทำให้ไม่สามารถไปแจ้งเกิดที่อำเภอหรือเขตภายใน 15 วันตามกฎหมายกำหนด เมื่อไปแจ้งภายหลัง เด็กคนนั้นก็จะกลายเป็นบุคคลประเภท 2 และจะมีเลขตัวแรกในทะเบียนบ้านขึ้นด้วยเลข 2 ทันที เช่น ในกรณีส้มจี๊ด หากพ่อไปแจ้งเกิดให้ ในวันที่ 18 มกราคม 2527 หรือเกินกว่านั้น ส้มจี๊ดก็จะมีเลขประจำตัวเป็น 2 1001 01245 29 9 ในทะเบียนบ้าน และเมื่อไปทำบัตรประชาชนในภายหน้า


ประเภทที่ 3 คือ คนไทยและคนต่างด้าว ที่มีใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าว และมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้าน ในสมัยเริ่มแรก (คือตั้งแต่ก่อนวันที่ 31 พฤษภาคม 2527) หมาย ความว่า บุคคลใดก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นคนไทย หรือคนต่างด้าว ที่มีใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าว และมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้าน ณ ที่ใดที่หนึ่งในประเทศไทย มาตั้งแต่ก่อนวันที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2527 คนนั้นถือว่าเป็นบุคคลประเภท 3 และก็จะมีเลขประจำตัวขึ้นต้นด้วยเลข 3 เช่น ส้มจี๊ด เกิดเมื่อวันที่ 25 มกราคม พ.ศ.2501 และมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านแล้ว ส้มจี๊ดก็จะมีเลขประจำตัวในทะเบียนบ้าน และบัตรประชาชนเป็น 3 1001 01245 29 9


ประเภทที่ 4 คือ คนไทยและคนต่างด้าว ที่มีใบสำคัญคนต่างด้าวแต่แจ้งย้ายเข้า โดยยังไม่มีเลขประจำตัวประชาชน ในสมัยเริ่มแรก หมาย ความว่า คนไทยหรือคนต่างด้าว ที่มีใบสำคัญคนต่างด้าว ที่อาจจะเป็นบุคคลประเภท 3 คือมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านเดิมอยู่แล้ว แต่ยังไม่ทันได้เลขประจำตัว ก็ขอย้ายบ้านไปเขตหรืออำเภออื่น ก่อนช่วงวันที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2527 ก็จะเป็นบุคคลประเภท 4 ทันที เช่น ส้มจี๊ดมีชื่ออยู่ในสำนักทะเบียนเขตคลองสาน มาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2501 ต่อมาในเดือนกุมภาพันธ์ 2527 ส้มจี๊ดก็ขอย้ายบ้านไปเขตดุสิต โดยที่ส้มจี๊ดยังไม่ทันได้เลขประจำตัวจากเขตคลองสาน พอแจ้งย้ายเข้าเขตดุสิต ส้มจี๊ดก็จะกลายเป็นบุคคลประเภท 4 มีเลขประจำตัวขึ้นต้นด้วย 4 กลายเป็น 4 1001 01245 29 9 ทันที แต่ถ้าส้มจี๊ดย้ายจากเขตคลองสานเดิม ไปเขตดุสิต หลังวันที่ 31 พฤษภาคม 2527 ส้มจี๊ดก็ยังเป็นบุคคลประเภท 3 อยู่ เพราะถือว่าจะได้เลขประจำตัวจากเขตคลองสานแล้ว จะย้ายอย่างไรก็ไม่เปลี่ยนแปลง


การกำหนดให้บุคคลเริ่มมีเลขประจำ ตัว 13 หลักในทะเบียนบ้านหรือบัตรประชาชน โดยเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2527 เป็นต้นไป จนถึงวันที่ 31 พฤษภาคม 2527 อันเป็นวันสุดท้าย ของการดำเนินการให้ประชาชน ที่ไม่มีเลขประจำตัวในบัตรหรือทะเบียนบ้าน ได้มีเลขประจำตัวจนครบแล้วนั้น ก็เพราะก่อนหน้านี้ ประเทศไทยยังไม่เคยมีการกำหนดเลขประจำตัวดังกล่าวมาก่อนเลย ดังนั้น ช่วงที่ว่าจึงเป็นระยะเวลาจัดระบบให้เข้าที่เข้าทาง เพราะหลังจากวันที่ 31 พฤษภาคม 2527 แล้ว ทุกคนจะต้องมีเลขประจำตัวเพื่อสำแดงตนว่า เป็นบุคคลประเภทใด โดยดูตามเงื่อนไขในแต่ละกรณี ซึ่งมีอีก 4 ประเภท คือ


ประเภทที่ 5 คือ คนไทยที่ได้รับอนุมัติให้เพิ่มชื่อ เข้าไปในทะเบียนบ้านในกรณีตกสำรวจ หรือกรณีอื่นๆ เช่น ส้มจี๊ดมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านเขตดุสิตอยู่แล้ว แต่บังเอิญว่าตอนที่มีการสำรวจรายชื่อผู้อยู่ในบ้าน เกิดความผิดพลาดทางเทคนิค ทำให้ชื่อของส้มจี๊ดหายไปจากทะเบียนบ้าน เมื่อไปแจ้งเจ้าหน้าที่และตรวจสอบแล้วว่าตกสำรวจจริง หรือจะเป็นเพราะกรณีอื่นใดก็ตาม เจ้าหน้าที่ก็จะเพิ่มชื่อให้ แต่ส้มจี๊ดก็จะมีหมายเลขในทะเบียนบ้านเป็นบุคคลประเภท 5 และบัตรประชาชนจะขึ้นต้นด้วยเลข 5 ทันที คือ กลายเป็น 5 1001 01245 29 9
ไขปริศนาเลขบัตรประชาชนไทยทั้ง 13 หลัก อยากรู้มั้ย ว่าแต่ละตำแหน่งหมายถึงอะไร

ประเภทที่ 6 คือ ผู้ที่เข้าเมืองโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย และผู้ที่เข้าเมืองโดยชอบด้วยกฎหมาย แต่อยู่ในลักษณะชั่วคราว กล่าว คือ คนที่มาอาศัยอยู่ในประเทศไทย แต่ยังไม่ได้สัญชาติไทย เพราะทางการยังไม่รับรองทางกฎหมาย เช่น ชนกลุ่มน้อยตามชายแดน หรือชาวเขา กลุ่มนี้ถือว่าเป็นผู้เข้าเมืองโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ส่วนบุคคลที่เข้าเมืองโดยชอบด้วยกฎหมาย แต่อยู่ชั่วคราว เช่น นักท่องเที่ยวหรือชาวต่างชาติที่เดินทางเข้าประเทศไทย แม้บางคนจะถือพาสปอร์ตประเทศของตน แต่อาจจะมีสามีหรือภริยาคนไทย จึงไปขอทำทะเบียนประวัติ เพื่อให้มีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านสามีหรือภริยา คนทั้งสองแบบที่ว่า ถือว่าเป็นบุคคลประเภท 6 เลขประจำตัวในบัตรจะขึ้นต้นด้วยเลข 6 เช่น 6 1012 23458 12


ประเภทที่ 7 คือ บุตรของบุคคลประเภทที่ 6 ซึ่งเกิดในประเทศไทย คนกลุ่มนี้ในทะเบียนประวัติจะมีเลขประจำตัวขึ้นต้นด้วยเลข 7 เช่น 7 1012 2345 133


ประเภทที่ 8 คือ คนต่างด้าวที่เข้าเมืองโดยถูกต้องตามกฎหมาย คือ ผู้ที่ได้รับใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าว หรือคนที่ได้รับการแปลงสัญชาติเป็นสัญชาติไทย และคนที่ได้รับการให้สัญชาติไทย ตั้งแต่หลังวันที่ 31 พฤษภาคม 2527 เป็นต้นไปจนปัจจุบัน คนกลุ่มนี้เลขในทะเบียนประวัติจะขึ้นด้วยเลข 8 เช่น 8 1018 01234 24 7


คนทั้ง 8 ประเภทนี้ จะมีเพียงประเภทที่ 3, 4 และ 5 เท่านั้น ที่จะมีบัตรประชาชนได้เลย ส่วนประเภทที่ 1 และ 2 จะมีบัตรประชาชนได้ ก็ต่อเมื่อมีอายุถึงเกณฑ์ทำบัตรประจำตัวประชาชน คืออายุ 15 ปี แต่สำหรับบุคคลประเภทที่ 6, 7 และ 8 จะมีเพียงทะเบียนประวัติเล่มสีเหลืองเท่านั้น จะไม่มีการออกบัตรประชาชนให้

ต่อไปคือ หลักที่ 2 ถึงหลักที่ 5 (เลข 1001 ในตัวอย่างหรือสี่ตัวถัดไปจากตัวแรก) จะหมายถึง รหัสของสำนักทะเบียน หรืออำเภอที่เรามีชื่ออยู่ในทะเบียนขณะที่ให้เลข ซึ่งก็หมายถึงถิ่นที่อยู่ของเรานั่นเอง กล่าวคือ เลขหลักที่ 2 และ 3 จะหมายถึงจังหวัดที่อยู่ ส่วนหลักที่ 4 และ 5 หมายถึงเขตหรืออำเภอในจังหวัดนั้นๆ เช่น ถ้าเขียนว่า 1001 ก็หมายถึงว่า คุณอาศัยอยู่ที่กรุงเทพฯ ในเขตดุสิต เพราะ 10๐ ในหลักที่ 2 และ 3 หมายถึงกรุงเทพมหานคร ส่วนเลข 01 ในหลักที่ 4 และ 5 คือรหัสของสำนักทะเบียนเขตดุสิต หรือถ้าเขียนว่า 1101 ก็จะหมายถึง อยู่ที่จังหวัดสมุทรปราการ อำเภอเมือง เพราะ 11 แรกคือ รหัสจังหวัดสมุทรปราการ และ 01 หลัง คือ อำเภอเมืองสมุทรปราการ เป็นต้น

สำหรับ หลักที่ 6 ถึงหลักที่ 10 (เลข 01245 ในตัวอย่าง) จะหมายถึง กลุ่มที่ของบุคคลแต่ละประเภท ตามหลักแรก (หลักที่ 1) ซึ่งทางสำนักทะเบียนในแต่ละแห่ง ก็จะจัดกลุ่มเรียงไปตามลำดับ หรือหากเป็นเด็กเกิดใหม่ในปัจจุบัน เลขดังกล่าวก็จะหมายถึง เล่มที่ของสูติบัตร (ใบแจ้งเกิดที่อำเภอหรือเขตออกให้) ซึ่งก็คือเลขประจำตัวในทะเบียนบ้านของเด็กที่แต่ละอำเภอหรือเขตออกให้ และจะไปปรากฎในบัตรประชาชน เมื่อถึงอายุต้องทำบัตรนั่นเอง แต่ถ้ายังไม่ถึงเกณฑ์เลขนี้ ก็จะปรากฏอยู่แค่ในทะเบียนบ้านของเด็กเท่านั้น


หลักที่ 11 และ 12 (หมายเลข 29 ในตัวอย่างสมมุติ) จะหมายถึง ลำดับที่ของบุคคลในแต่ละกลุ่มประเภท เป็นการจัดลำดับว่าเราเป็นคนที่เท่าไรในกลุ่มของบุคคลประเภทนั้นๆ


หลักที่ 13 (เลข 9 ตัวสุดท้ายในตัวอย่าง) จะหมายถึง ตัวเลขสำหรับตรวจสอบความถูกต้องของเลขทั้ง 12 หลักแรกอีกที


สำหรับ เลขตั้งแต่หลักที่ 6 ถึง 13 นี้เป็นการจัดหมวดหมู่ และเรียงลำดับบุคคลในแต่ละประเภทของสำนักทะเบียนในแต่ละท้องที่ ซึ่งเราก็คงไม่ต้องรู้รายละเอียดอะไรลึกไปกว่านี้ เพราะรู้แล้วอาจจะงงเปล่าๆ


เป็นเรื่องน่าแปลกว่า ตัวเลข 13 หลักที่เป็นหมายเลขในบัตรประชาชน หรือเลขประจำตัวประชาชนของเราแต่ละคนนี้ จะไม่มีการซ้ำกันเลย ผิดกับชื่อหรือนามสกุล ยังมีซ้ำกันได้ และจะเป็นเลขประจำตัวเราจนตาย ไม่มีการเปลี่ยน หรือยกให้คนอื่น และจากการสอบถามเจ้าหน้าที่ว่า ในอนาคตจะต้องมีการเติมเลข อย่างเลข 8 เข้าไปอีก เพราะเลขไม่พอใช้เหมือนโทรศัพท์มือถือหรือไม่ เขาก็บอกว่าคงอีกนาน อาจจะถึง 100 ปีโน่น เพราะการที่เขาแยกแยะบุคคลเป็นประเภทต่างๆ และยังแยกย่อยเป็นจังหวัดอำเภอ แล้วลงรายละเอียดไปเป็นกลุ่มๆในแต่ละประเภทอีกนั้น ทำให้เพดานหรือช่วงตัวเลขมีความห่างมาก จนสามารถรองรับจำนวนคนได้อีกมาก และหากใครสงสัย หรือมีปัญหาในเรื่องทะเบียนบ้าน ทะเบียนสมรส บัตรประชาชน ก็สามารถสอบถามไปได้ที่ สำนักบริหารการทะเบียน กรมการปกครอง โทร. 1548


ตัวเลข 13 หลักที่กล่าวข้างต้น เป็นเลขประจำตัวประชาชนของแต่ละคนนี้ แม้จะมิใช่ตัวเลขที่เราต้องใช้เป็นประจำในชีวิตประจำวัน ยก

วันพฤหัสบดีที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2551

รักแท้ของชายคนหนึ่ง


ณ โรงเรียนแห่งหนึ่ง.. มีเพื่อนต่างเพศอยู่คู่หนึ่ง เป็นเพื่อนที่รักกันมาก
ฝ่ายชายจะเดินไปส่งฝ่ายหญิงที่บ้านเสมอทุกวัน
เวลาผ่านไป จนทั้ง สองอยู่ มหาวิทยาลัย
ฝ่ายหญิงเริ่มไปแอบชอบ ผู้ชายคนนึง และได้ถามเพื่อนชายว่า
"นี่ เธอ ว่า เค้าเหมาะกับเราไหม"
"เค้าก้อ หล่อดีนะ นิสัยก็ดีด้วย "
"เหรอ! อืม อยากให้เค้ามานั่งอยู่ข้างๆ เราจังเลยเนอะ"
ต่อมาไม่นาน หญิงสาวก็ได้เป็นแฟน กับผู้ชายคนนั้นจริงๆ
วันนึงหญิงสาวบอกกับ เพื่อนชายของตนว่า
"นี่ เธอ ไม่ต้องมาส่งเราทุกวันแล้วแหละ ตอนนี้เค้าจะมาส่งเราแล้ว
เราไม่อยากให้ เค้าเข้าใจ ผิดน่ะ"
"อืม" ฝ่าย ชายตอบรับ และเขาก็ไม่ได้ไปส่งหญิงสาวอีก
ต่อมาหญิงสาวเกิดทะเลาะกับแฟน ของตน
จึงมาปรึกษาเพื่อนชาย
ว่า
"เธอ! เด๋ว นี้เขาไม่ค่อยสนใจเราเลยแหละ
เธอว่า... เราจะทำอย่างไร ดีหล่ะ!"
"ก้อ เธอ ยังรักเค้าอยู่หรือป่าวหล่ะ" ฝ่ายชายถาม
"ก้อรักสิ และก้อรักมากด้วย"
"ถ้าอย่างนั้น ก็มอบความรักให้เขาต่อไปสิ ก้อเธอรักเค้านี่หน่า"
"อืม ม" หญิงสาวทำตามคำแนะนำของเพื่อนชาย
หลังจากนั้น ... วันหนึ่ง
ระหว่างที่เพื่อนชายหนุ่ม เดินกลับบ้าน เค้าเห็นหญิงสาว
นั่งร้องไห้อยู่ข้างทาง
"เธอ เป็น อะไรหน่ะ ทำไมถึงร้องไห้ มีอะไรให้เราช่วยไหม"
"เค้าไม่ รักเราเลยหล่ะ เขาเปลี่ยนไป
เด๋วนี้เขาไม่เคยมาส่งเรา ที่บ้านเลย"
"แล้วเราจะ ช่วยอะไรเธอได้บ้างหล่ะ"
"ช่วยอยู่ กับเราซักพักได้ไหม?" หญิงสาวร้องขอ
ก้อได้ซิ! ทำไมจะไม่ได้หล่ะ
ทั้งสองได้นั่งอยู่ด้วยกัน โดยไม่พูดจาอะไรกันเลย
ในที่สุดหญิงสาวก็เอ่ย ขึ้นมาว่า
"เราควรจะ ทำอย่างไรดี เธอจะช่วยบอกเราได้ไหม
ว่าเราควรจะทำอย่างไร
ดี"
"เธอยังรัก..เขาอยู่หรือป่าวหล่ะ"
"รักสิ เรา รักเค้ามากเลย"
"แต่เค้า ไม่รักเราเลยนี่หน่า" หญิงสาวร้องไห้โฮ
"แต่เธอก็รัก..เขาไม่ใช่เหรอ"
และชายหนุ่มก็ไปส่งหญิงสาว ที่บ้านอย่างที่เคยทำมาแต่ก่อน
"ถ้า เมื่อไหร่...ก็ตาม
ที่เธออยากให้เรามาส่งเธอที่บ้าน อย่าลืมเรียกเรา นะ"
"อืม" และ หญิงสาวก็เดินขึ้นบ้านไป

ต่อมาวันหนึ่งชายหนุ่มได้ รับโทรศัพท์จากหญิงสาว
"เราไม่ไหวแล้ว ช่วยมารับเราที"
เสียงของหญิงสาวดูช่าง อ่อนล้า และหมดกำลัง
เธอกำลังร้องไห้อย่างฟูมฟายอยู่
ชายหนุ่มได้ไปหาเธอและพาเธอมาส่งบ้าน
เธอยังคงถามชายหนุ่มนั้น เหมือนที่เคยถามมา ...
"เราจะทำอย่างไรต่อไปดี"
เราไม่รู้จะทำอย่างไรแล้ว..ดูยังไง ๆ เขาก็เหมือนไม่ได้รักเราเลย
"แล้วเธอเลิก รักเค้าแล้วเหรอ"
"ป่าว! เรา ยังรักเค้ามาก เรายังรักเขาอยู่เหมือนเดิม"
"งั้นก็ เหมือนที่เราเคยพูดไว้
จงรักเขาต่อไป..แม้มันจะเจ็บบ้างก็ตาม
เพราะมันไม่สำคัญหรอกว่า เขาจะรักเธอไหม..? แต่ถ้าเธอยังรักเขา
เธอก็คงทำได้แค่เพียงรักเขา...และจงรักเขาให้มากกว่าเดิม
เพื่อแสดงให้เขารู้ว่าเธอรักเขามาก และก็ไม่เคยเปลี่ยนแปลง
มีแต่เพิ่มมากขึ้น"
อือ ม..แล้วหญิงสาวก็เดินขึ้นบ้านไป และในที่สุดวันที่เธอเรียนจบก็มาถึง
เพื่อนชายหนุ่มของเธอมาแสดงความยินดีกับเธอ
เธอรู้สึกแปลกใจมาก ที่เพื่อนชายหนุ่มของเธอ ยังเรียนไม่จบ
เธอถามเขาว่า ทำไม..?
ชายหนุ่มตอบว่า เขาขี้ เกียจไปหน่อย
ทำให้เขาต้องเรียนซ้ำวิชา หนึ่งจึงยังเรียนไม่จบ
หญิง สาวแปลกใจ เพราะตลอดมา ชายหนุ่มคนนี้เป็นคนขยัน
แต่ก็ไม่ได้เซ้าซี้อะไรต่อ..
และต่อมาไม่นานแฟนของหญิงสาว ก็ได้มาขอเธอแต่งงาน
เนื่องด้วยเห็นถึงความรัก ที่หญิงสาวมีให้
หญิงสาวจึงได้ไปชวนเพื่อนชาย เพื่อให้มางานแต่งของเธอ
"เราไม่ว่างจริงๆ เราติดธุระน่ะ!
ขอโทษด้วยนะ"

เพื่อนชายตอบเธอด้วยน้ำ เสียงแผ่วเบา
หญิงสาวโกรธและเสียใจที่ เพื่อนชายไม่ยอมมางานแต่ง จึงวางหูกระแทกไป
แต่หญิงสาวก็ต้องประหลาดใจ เมื่อวันที่เธอแต่งงาน
ชายหนุ่มได้มาปรากฎตัวก่อนที่งาน แต่งจะจบลง
"ยินดีด้วย นะ เรามาแล้วหล่ะ"
หญิงสาวดีใจมากที่เห็นเพื่อนชาย ของเธอมา
ถึงแม้ว่ามันจะเป็นเพียงช่วงเวลาสั้นๆ ก็ตาม
เธอรู้สึกมีความสุขมาก ถึงกับกลั้นน้ำตาไม่ให้มันไหลออกมาไม่ได้
และเพื่อนชายก็พูดว่า เธอมีอะไรให้เราช่วยไหม..?
ยิ่งทำให้เธอร้องไห้หนักกว่าเดิม..
...........................
ต่อมาหญิงสาวก็มีความสุข กับชีวิตแต่งงานของเธอ
จนไม่มีเวลาได้ติดต่อกับเพื่อนชายอีกเลย
จนวันหนึ่งหญิงสาวได้ ทะเลาะกับสามีของตน
หญิงสาวไม่รู้จะไปปรึกษาใคร จึงนึกถึงเพื่อนชายขึ้นมา
แม้ว่าหญิงสาวจะโทรไปหาเท่าไหร่?
ก็ไม่สามารถติดต่อกับชายหนุ่มคนนั้นได้เลย
เขาจึงโทรไปหาเพื่อนของชายหนุ่มคนนั้น
เพื่อนของชายหนุ่มเล่า ว่า ชายหนุ่มเป็นโรคร้าย เขาไม่สามารถไปไหนได้
ตอนนี้รักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล... มาร่วมหลายเดือนแล้ว
หญิงสาวตกใจมาก ถามว่า..เขาเป็นอะไร?
เพื่อนชายหนุ่มบอกว่า อาการเขากำเริบ เพราะวันที่ชายหนุ่มต้องมาผ่าตัด
ชายหนุ่มดัน ...หายตัว ไปเฉย ๆ โดยไม่มีใครรุ้
และเพื่อนของชายหนุ่ม ก็ยังบอกอีก ว่า ..."มันเป็นนิสัยเสียของมันหน่ะ
มันชอบหายตัวไปไหนก็ไม่รู้ ในช่วงเวลาสำคัญๆ
คราวที่แล้วตอนสอบไล่ มันก็หายตัวไปจากห้องสอบเฉยเลย"
ไม่รู้มันหายไปไหน..ถามใคร ก็ไม่มีใครรู้
หญิงสาวตกใจมาก เลยขอที่อยู่ของโรงพยาบาลที่ชายหนุ่มรักษาตัว
หญิงสาวไปเยี่ยมชายหนุ่ม ที่โรงพยาบาล เมื่อเปิดประตูเข้าไป
ก็ต้อง ตกใจ ! ชายหนุ่มที่เคยดูแข็งแรง กับผอมซูบ ไม่มี แรง
เมื่อชายหนุ่มเห็นเธอก็ดีใจ ทักทาย
เธอเป็นการใหญ่
"เป็นอย่าง ไรมั่ง ไม่เจอกันตั้งนานเลยน่ะ"
หญิงสาวนิ่งเงียบซักพัก น้ำตาหญิงสาวก็ไหลออกมา
"อ้าวร้อง ไห้ทำไมหล่ะ เธอหน่ะ ไปทะเลาะกับแฟนมาอีกแล้วเหรอ
จะให้เราช่วยอะไรไหม...?
แต่เราก็คงจะแนะนำเธอ ได้เหมือนเดิมนะ"
หญิงสาวเข้าไปหาชายหนุ่ม แล้วก็บอกกับชายหนุ่มว่า

วันที่เธอ มารับเราเป็นวันสอบไล่เธอใช่ไหม..?"
ชายหนุ่มทำหน้าตกใจและไม่กล้าพูดอะไรทั้งสิ้น กลับนิ่งเงียบไป
หญิงสาวจึงพูด ต่อ...

"และวันที่ เธอต้องผ่าตัดใหญ่ เธอกลับมางานแต่งงานของเราใช่ไหม..?"
ชายหนุ่มไม่รู้จะพูดอะไร อีกแล้ว กลับนิ่งเงียบกว่าเดิม

หญิงสาวเข้าไปกอดชายหนุ่ม แล้วพูดด้วยน้ำเสียงสั่น ๆ
"ตลอดเวลา เรารักแต่คนอื่น
มองแต่คนอื่นเรากลับไม่รู้เลยว่าเธอรักเรามากแค่ ไหน
เรารู้สึกเสียใจจริงๆ ที่ ไม่ได้รักเธอมากกว่านี้"
ชายหนุ่มได้แต่ยิ้มแล้วก็บอก
กับหญิงสาวด้วยเสียงอันแผ่วเบาว่า

"เราบอกเธอ แล้วไง..ถ้าเรารักใครสักคน เราก็ต้องรักเขาให้มากๆ
และมากขึ้นกว่าเดิม
มันไม่สำคัญหรอก..ว่าเขาจะรักเราหรือไม่
มันสำคัญแค่เพียงว่า..เรายังรักเธออยู่หรือเปล่า
แค่เราสามารถช่วยเธอได้ นั่นมันก็เป็นความสุขของเราแล้ว
ต่อให้เราจะเจ็บสักแค่ไหน..เราก็ยังรักเธอต่อไป
และไม่เคยคิดจะเปลี่ยนแปลง..

หญิงสาวรู้สึกเสียใจมาก นั่งร้องไห้โฮ...อยู่ที่ตักของชายหนุ่ม

ชายหนุ่มจึงพูด... ขึ้น ว่า

"ถ้าเราหาย เมื่อไหร่... เราจะไปส่งเธอที่บ้านอีกนะ"

วันจันทร์ที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

อินเทล สาธิตประสิทธิภาพของแพลตฟอร์ม “มอรส์ทาวน์” ตัวแรกของโลก

อินเทอร์เน็ตยังคงเป็นตัวขับเคลื่อนนวัตกรรมผลิตภัณฑ์และให้ประสบการณ์ที่หลากหลาย
-------------------------------------------------------------------------------------


อินเทล ดิเวลล็อปเปอร์ ฟอรัม กรุงไทเป ไต้หวัน 20 ตุลาคม พ.ศ. 2551 – แอพพลิเคชั่นและนวัตกรรมใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นมาเพื่อรองรับอินเทอร์เน็ตนั้น นอกจากจะต้องการแพลตฟอร์มที่เป็นมาตรฐานแล้ว ยังจำเป็นต้องใช้แพลตฟอร์มที่เปิดโอกาสให้นักพัฒนาสามารถปรับแต่งได้สะดวก ซึ่งเป็นเป็นประโยชน์ต่อการคิดค้นนวัตกรรมใหม่ๆ โดย อนันด์ จันทราเซเคอร์ ผู้บริหารของอินเทลได้ระบุว่าสถาปัตยกรรมอินเทลเป็นมีองค์ประกอบพร้อมสำหรับการผลิตนวัตกรรมใหม่ๆ ที่จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่ก้าวหน้ายิ่งขึ้นในอนาคต

ในงาน อินเทล ดิเวลล็อปเปอร์ ฟอรั่ม (ไอดีเอฟ) ซึ่งจัดขึ้นที่ประเทศไต้หวัน อนันด์ จันทราเซเคอร์ รองประธานอาวุโสและผู้จัดการทั่วไป กลุ่มอัลตร้า โมบิลิตี้ ของอินเทล บรรยายให้เห็นว่านวัตกรรมทางเทคโนโลยีและความร่วมมือที่แข็งแกร่งในวงการอุตสาหรกรรมนี้ได้มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจในช่วง 40 ปีที่ผ่านมาอย่างไร รวมทั้งผลที่เกิดขึ้นหลังจากที่อินเทอร์เน็ตและโมบายล์เว็บเข้ามามีอิทธิพลในชีวิตประจำวันของเรา

อนันด์ กล่าวว่า “นวัตกรรมของเทคโนโลยีจะเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดประสบการณ์และโมเดลธุรกิจใหม่ๆ ตลอดจนความร่วมมือที่จะเกิดขึ้นในแวดวงอุตสาหกรรม ซึ่งจะมีผลต่อการกำหนดทิศทางอนาคตในอีก 40 ปีข้างหน้า และเมื่อประชากรอีกพันล้านคนสามารถเข้าถึงอินเทอร์เน็ตได้ ก็จะยิ่งเพิ่มโอกาสอีกมหาศาลให้กับผู้บริโภค จากการนำเทคโนโลยีและอุปกรณ์ใหม่ๆ ที่เน้นตอบสนองความต้องการของผู้ใช้เป็นหลัก มาใช้เพื่อตอบสนอบความต้องการด้านการประมวลผลและประสบการณ์ที่หลากหลาย”
อนันด์ กล่าวถึง อินเทล อะตอม โปรเซสเซอร์ และโปรเซสเซอร์ที่ใช้สถาปัตยกรรมชื่อรหัส “เนฮาเล็ม” ที่กำลังจะเปิดตัวในเร็วๆ นี้ รวมทั้ง แพลตฟอร์มที่ใช้ชื่อรหัส “มอรส์ทาวน์” (Moorestown) ซึ่งมีกำหนดเปิดตัวในช่วง พ.ศ. 2552-2553 ว่า เป็นตัวอย่างที่ดีของนวัตกรรมและความเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยี นอกจากนั้นเขายังได้เน้นย้ำถึงความก้าวหน้าของแผนการณ์ของบริษัทอินเทล ในการเจาะกลุ่มตลาด MID ด้วยการสาธิตให้เห็นถึงประสิทธิภาพของแพลตฟอร์ม “มอรส์ทาวน์” ตัวแรกอีกด้วย

แพลตฟอร์ม “มอรส์ทาวน์” ประกอบด้วย ซิสเต็ม-ออน-ชิป (SOC) ที่มีชื่อรหัสว่า “ลินครอฟท์” (Lincroft) ซี่งประกอบด้วยโปรเซสเซอร์ที่ผลิตด้วยเทคโนโลยี 45 นาโนเมตร กราฟิก และตัวควบคุมความจำรวมทั้ง การเข้ารหัสและถอดรหัสไฟล์วิดีโอ ไว้ในชิปชิ้นเดียว นอกจากนั้นยังมี Hub สำหรับ I/O ที่รองรับ I/O ได้หลายพอร์ต ซึ่งมีชื่อรหัสว่า แลงก์เวลล์ (Langwell) โดยสามารถเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ไร้สาย สตอเรจ และส่วนประกอบเพิ่มเติมอื่นๆ เพื่อเพิ่มการทำงานนอกเหนือจากส่วนที่ถูกรวมไว้อยู่แล้ว อนันด์ยังได้กล่าวเพิ่มเติมว่าอินเทลอยู่ในระหว่างดำเนินการเพื่อลดการใช้พลังงานของแพลตฟอร์ม “มอรส์ทาวน์” ให้น้อยกว่าอุปกรณ์ MID รุ่นแรกที่ใช้อินเทล อะตอม โปรเซสเซอร์ 10 เท่า

อนันด์กล่าวเสริมว่า แพลตฟอร์ม “มอรส์ทาวน์” จะเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดการพัฒนาที่เป็นนวัตกรรม และน่าตื่นเต้น ที่จะช่วยสร้างประสบการณ์การใช้อินเทอร์เน็ตเพื่อการสื่อสารสำหรับสมาร์ทโฟนอีกด้วย โดยอนันด์ยังชี้ให้เห็นว่า แพลตฟอร์ม “มัอรส์ทาวน์” จะสามารถรองรับเทคโนโลยีไร้สายที่หลากหลายรวมถึง 3G ไวแมกซ์ ไวไฟ GPS เทคโนโลยีบลูธูท และโมบายล์ทีวี เป็นต้น
นอกจากนั้นแล้ว อนันด์ ได้ประกาศถึงความร่วมมือกับบริษัท อีริคสัน* ในการนำโมดูลข้อมูล HSPA มาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดในแพลตฟอร์ม “มอรส์ทาวน์ “ โดยเขาได้ประกาศว่า Option* กำลังเพิ่มขอบเขตความร่วมมือสำหรับ โมดูล HSPA ไปยังแพลตฟอร์ม “มอรส์ทาวน์” ด้วยเช่นกัน โมดูล 3G เหล่านี้ มีขนาด เพียง 25x30x2 มิลลิเมตร ซึ่งตอบสนองความต้องการในด้านพลังงานของ แพลตฟอร์ม “มอรส์ทาวน์” ได้อย่างสูงสุด และจะช่วยให้ผู้ใช้อุปกรณ์ MID สามารถใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น และสามารถเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตได้ตลอดเวลา

นวัตกรรมที่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอสำหรับองค์กรขนาดใหญ่ เคิร์ก สกาวเกน ผู้จัดการทั่วไปสำหรับกลุ่มผลิตภัณฑ์เซิร์ฟเวอร์ ให้ข้อมูลเกี่ยวกับเดสก์ท้อปคอมพิวเตอร์รุ่นใหม่สำหรับกลุ่มผู้ใช้ไฮเอนด์ ซึ่งใช้อินเทล คอร์ ไอเซเว่น โปรเซสเซอร์ ที่จะเริ่มวางตลาดในเดือนพฤศจิกายนนี้ ว่า เดสก์ท็อปแบบไฮเอนด์เหล่านี้จะให้ประสิทธิภาพการทำงานที่โดดเด่นสำหรับการเล่นเกมส์ และแอพพลิเคชั่นสำหรับการสร้างคอนเทนท์ สกาวเกินยังได้กล่าวถึงอินเทล วีโปร เทคโนโลยี สำหรับเดสก์ท้อปที่มีชื่อรหัสว่า “ไพค์ทาวน์” (Piketown) และสำหรับโน้ตบุ๊กมีชื่อรหัสว่า “คาลเพลลา” (Calpella) รุ่นใหม่ที่จะมีการเปิดตัวในปี พ.ศ. 2552 นี้ จะใช้โปรเซสเซอร์เนฮาเล็ม และจะช่วยให้ลูกค้าองค์กรสามารถใช้นวัตกรรมสำหรับธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นอีกด้วย

ทั้งนี้ จะมีการใช้สถาปัตยกรรมไมโครอาร์คิเทคเจอร์ เนฮาเลมสำหรับผลิตภัณฑ์หลายกลุ่ม โดยเริ่มแรกจะเป็นอินเทล คอร์ ไอเซเว่น โปรเซสเซอร์ และตามมาด้วยผลิตภัณฑ์ในกลุ่มเซิร์ฟเวอร์ที่ออกแบบมาเพื่อเน้นประสิทธิภาพการทำงาน ที่มีชื่อรหัสว่า เนฮาเล็ม-อีพี (Nehalem-EP) รวมทั้งเซิร์ฟเวอร์แบบ expandable ที่มีชื่อรหัสว่า เนฮาเล็ม-อีเอ็กซ์ (Nehalem-EX) รวมทั้งผลิตภัณฑ์สำหรับเดสก์ท็อปและโมบายล์ (ชื่อรหัสว่า ฮาเวนเดล (Havendale), ลินน์ฟิลด์ (Lynnfield) อูเบอร์นเดล (Auburndale) และ คลาร์คส์ฟิลด์ (Clarksfield) ตามลำดับ) ซึ่งจะเริ่มผลิตในช่วงครึ่งปีหลังของปีพ.ศ. 2552 สกาวเกน ยังได้ประกาศว่า ไอบีเอ็ม และอินเทลจะร่วมมือกันต่อไปเพื่อสร้างสรรค์นวัตกรรมสำหรับตลาดของเบลดเซิร์ฟเวอร์อีกด้วยเกี่ยวกับอินเทล

อินเทล (NASDAQ:INTC) เป็นผู้นำระดับโลกในด้านนวัตกรรมซิลิกอน สร้างสรรค์เทคโนโลยี สินค้า รวมทั้งการริเริ่มต่างๆ เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตและการทำงานของผู้คนอย่างต่อเนื่อง ท่านสามารถหาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับอินเทลได้ที่ www.intel.com/pressroom/ และ blogs.intel.com/

วันอาทิตย์ที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

8 วิธี...เคลียร์สมองใสในออฟฟิศ

บ่อยครั้งที่พอสมองตื้อ คิดอะไรไม่ออก หรืออารมณ์ไม่ดี เรามักจะเป็นประเภทรำไม่ดีโทษปี่โทษกลอง คือเฟ้นหาสาเหตุจากปัจจัยภายนอก ก่อนที่จะตั้งคำถามเช็กสมรรถภาพกับตัวเอง แล้วความจริงก็ชอบแสดง ให้เห็นว่า หลายปัญหาคาใจ แท้จริงแล้วมีคำตอบอยู่ข้างหน้านั่นเอง แบบว่า…เป็นเส้นผมบังภูเขาแท้ๆ เชียว


เอาเป็นว่า ถ้าวันนี้ใครรู้สึกว่าสมองแล่นช้า สลับหยุดนิ่ง ก่อนจะหันไปแว้ดเพื่อน หรือหาทางออกจากอะไรๆ รอบตัว ลองมาเช็กและ Restart ระบบภายในร่างกายกันก่อน ด้วย 8 ทิปส์ ที่ทำได้ในออฟฟิศ


1. เพิ่มประสิทธิภาพในการประสานงานสมอง : เขียนเลข 8 ในอากาศ ด้วยมือทั้งสองข้างๆ ละ 5 ครั้ง โดยเริ่มจากด้านซ้ายของเลขก่อน แล้วเขียนวนไปให้เป็นเลข 8 วิธีนี้จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพด้านการอ่าน การทำความเข้าใจ ดีขึ้น และทำให้สมองด้านซ้ายและด้านขวาประสานงานกัน


2. หล่อเลี้ยงสมองด้วยน้ำเปล่า : วางขวดน้ำไว้ใกล้ๆ โต๊ะของคุณเป็นประจำ และคอยจิบทีละน้อย วิธีนี้จะช่วยให้จิตใจและร่างกายของคุณ ตื่นตัวตลอดเวลา สมองเปิดว่าง สามารถรับสารหรือข้อมูลได้ดี เพราะน้ำจะช่วยปรับสารเคมีที่สำคัญในสมองและระบบประสาท ถ้าเวลาที่รู้สึกเครียด จึงควรจิบน้ำเพื่อให้ร่างกายได้รับน้ำเพื่อไปหล่อเลี้ยงระบบของร่างกาย

3. นวดใบหูกระตุ้นความเข้าใจ : นั่งพักสบายๆ แตะปลายนิ้วทั้ง สองข้างที่ใบหู เคลื่อนนิ้วไปยังส่วนบนของหู จากนั้นบีบนวดและคลี่รอยพับ ของใบหูทั้งสองข้างออก ค่อยๆ เคลื่อนนิ้วลงมานวดบริเวณอื่นๆ ของใบหู ดึงเบาๆ เมื่อถึงติ่งหู ดึงลง ให้ทำซ้ำกัน 2 ครั้ง วิธีนี้จะช่วยกระตุ้นการได้ยิน และทำให้ความเข้าใจดีขึ้น เพราะเป็นการคลายเส้นประสาทบริเวณใบหูที่เชื่อมสมอง

4. บริหารกล้ามเนื้อหัวไหล่ : ใช้มือซ้ายจับไหล่ขวา บีบกล้ามเนื้อให้แน่นพร้อมหายใจเข้า จากนั้นหายใจออกและหันไปทางซ้ายจนสามารถ มองไหล่ซ้ายของตัวเอง จากนั้นสูดลมหายใจลึกๆ วางแขนซ้ายลงบนไหล่ขวา พร้อมกับห่อไหล่ ค่อยๆ หันศีรษะกลับไปตรงกลางและเลยไปด้านขวา จนกระทั่ง สามารถมองข้ามไหล่ของคุณได้ ยืดไหล่ทั้งสองข้างออก ก้มคางลงจรดหน้าอกพร้อมกับสูดลมหายใจลึกๆ เพื่อให้กล้ามเนื้อของคุณได้ผ่อนคลาย เปลี่ยนมาใช้มือขวาจับไหล่ซ้ายบ้าง และทำซ้ำกันข้างละ 2 ครั้ง วิธีนี้จะช่วยบริหารกล้ามเนื้อตรงส่วนลำคอและไหล่ การได้ยิน, การฟัง และช่วยลดความตึงเครียดของกล้ามเนื้อที่เกิดจากการนั่งโต๊ะทำงานเป็นเวลานานอีกด้วย

5. นวดจุดเชื่อมสมอง : วางมือข้างหนึ่งไว้บนสะดือ มืออีกข้างหนึ่งใช้นิ้วหัวแม่มือและนิ้วชี้วางบนกระดูกหน้าอกบริเวณใต้กระดูกไหปลาร้า และค่อยๆ นวดทั้งสองตำแหน่งประมาณ 10 นาที วิธีนี้จะช่วยลดความงงหรือสับสน กระตุ้นพลังงาน และช่วยให้มีความคิดแจ่มใส

6. บริหารขา : ยืนตรงให้เท้าชิดกัน ถอยเท้าซ้ายไปข้างหลัง โดยยกส้นเท้าขึ้น งอเข่าขวาเล็กน้อยแล้วโน้มไปข้างหน้าเล็กน้อย ก้นของคุณจะอยู่ในแนวเดียวกับ ส้นเท้าขวา สูดลมหายใจเข้าและผ่อนออก ในขณะที่ปล่อยลมหายใจออกนี้ ค่อยๆ กดส้นเท้าซ้ายให้วางลงบนพื้นพร้อมกับงอเข่าขวาเพิ่มขึ้น หลังเหยียดตรง สูดลมหายใจเข้าแล้ว กลับไปตั้งต้นใหม่อีกครั้ง เปลี่ยนจากขาข้างซ้ายเป็นข้างขวา ทำแบบเดียวกันทั้งหมด 3 ครั้ง การบริหารท่านี้เหมาะสำหรับปรับปรุงสมาธิ รวมทั้งช่วยเพิ่มความเร็วในการอ่านหนังสือ และยังช่วยให้กล้ามเนื้อต้นขา และกล้ามเนื้อน่องผ่อนคลายอีกด้วย

7. กดจุดคลายเครียด : ใช้นิ้ว 2 นิ้ว กดลงบนหน้าผากทั้งสองด้าน ประมาณ กึ่งกลางระหว่างขนคิ้ว และตีนผม กดค้างไว้ประมาณ 3-10 นาที วิธีนี้จะช่วยคลายความตึงเครียดและเพิ่มการหมุนเวียนโลหิตเข้าสู่สมอง

8. บริหารสมองด้วยการเขียน : เขียนเส้นขยุกขยิกด้วยมือทั้งสองข้าง พร้อมๆ กัน ลายเส้นที่เขียนอาจจะดูเพี้ยนๆ แต่ได้ผลดีต่อระบบสมองเป็นอย่างดีทีเดียว วิธีนี้จะช่วยให้เกิดการปรับปรุงการประสานงานของสมอง ด้วยการทำให้สมองทั้งสองซีกทำงานพร้อมกัน และเพิ่มความชำนาญด้านการสะกดคำ คำนวณดี และรวดเร็วขึ้นอีกด้วย

เป็นไปได้จริง ที่เส้นผมสามารถบังภูเขาทั้งลูกได้ ถ้าสายตาไม่มีสติกำกับ ดังนั้น ประตูบานแรกที่จะทอดนำไปสู่การหลุดพ้นแห่งความทุกข์ ปัญหาคือสภาพจิตใจที่สมบูรณ์จากภายใน จำง่ายๆ ว่า เมื่อใดสติเกิด สมองก็บรรเจิด และแน่นอนว่าผลของงานก็จะเริดขึ้นทันใด

วันพุธที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

Log File

ช่วงนี้ "ผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต" คนไหนไม่สนใจ หรือไม่ตามประเด็นร้อนเกี่ยวกับ "ประกาศ/กฎกระทรวง" จัดเก็บ Log file ที่กระทรวงไอซีทีซุ่มเงียบเชียบคิดเขียน หวังประกาศมาตรการเฉียบออกมาเนียน ๆ บังคับเข่นคอผู้ประกอบการ คงเชยพิลึก

พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดที่เกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 ฉบับนี้ จะว่าไปก็เปรียบเสมือน "กฎหมายสูงสุด หรือ ธรรมนูญการปกครองของพลเมืองออนไลน์" ที่จะคอยกำหนดภาระหน้าที่ และความรับผิดชอบต่าง ๆ ให้กับมหาชนคนเล่นเน็ท ดังนั้น ใครใช้คอมพิวเตอร์ และอินเทอร์เน็ต แต่ไม่สนใจกฎหมายตัวนี้เลย ก็จะไม่ต่างกับกรณีที่"คนไทยไม่ยอมสนใจศึกษาสิทธิ และหน้าที่ของตัวในรัฐธรรมนูญ" สุดท้ายก็โดนทหารออกมายึดอำนาจ ออกประกาศกดหัวทุก ๆ 10 ปี นั่นแหละ

หลังจากร่าง ลบ ตบ เฉือน กันมาหลายปี เมื่อไม่นานมานี้มันก็โดนรัฐบาลหลังการรัฐประหาร ทั้งผลักทั้งดันออกมาจนได้ ถ้าจำไม่ผิดประกาศในราชกิจ ฯ วันที่ 18 มิถุนายน 2550 แล้วนับจากนั้นอีก 30 วันก็เป็นอันเริ่มใช้บังคับ กฎหมายฉบับนี้ (รวมทั้งประกาศที่กำลังจะออก) มีเรื่องทางเทคนิค, ประเด็นภาระหน้าที่ของผู้ประกอบการ และ ช่องทางที่เปิดโอกาส ให้เกิดการใช้อำนาจแบบสามานย์ ประกอบอยู่เป็นจำนวนมาก แต่...
(เท่าที่ทราบ และพอสืบค้นข้อมูลมาได้) มีกลุ่มผู้เชี่ยวชาญ ผู้ประกอบการ ผู้ให้บริการ ทีมเทคนิคร่วมกันร่าง (จริงๆ) อยู่เพียงไม่กี่คน เมื่อเทียบกับจำนวนผู้ประกอบการ และผู้เกี่ยวข้องภาคอื่น ๆ ที่ต้องได้รับผลกระทบจากกฎหมายฉบับนี้

หากจะกล่าวเรื่องทั้งหมด (ทั้งฉบับ) กันโดยพิสดาร (มีสักกี่คนกันหรือครับ ที่รู้ว่า การร่างครั้งสุดท้ายด้วยเวลาเพียงไม่กี่เดือน กฎหมายฉบับนี้มีฐานความผิด กับ อำนาจใหม่เพิ่มให้เจ้าหน้าที่รัฐฉวยใช้ ตั้งสองสามมาตรา) คงต้องรอบล็อกตอนอื่น (ตามโอกาส) ครั้งนี้ขอจับประเด็น ผลกระทบต่อ "ผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต" ซึ่งก็คงจะยาวหลายวาแล้ว (หลายคนรีบจิ้มหนีไป)

ผู้ให้บริการ ทั้งหลายครับ ในเบื้องต้นก่อน มาตราในพรบ. ฯ ที่กำลังจะเกี่ยวพันกับตัวท่าน คือ มาตราเหล่านี้
มาตรา 3 [...]

“ข้อมูลจราจรทางคอมพิวเตอร์” หมายความว่า ข้อมูลเกี่ยวกับการติดต่อสื่อสารของระบบ คอมพิวเตอร์ ซึ่งแสดงถึงแหล่งกําเนิด ต้นทาง ปลายทาง เส้นทาง เวลา วันที่ ปริมาณ ระยะเวลา ชนิดของบริการ หรืออื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการติดต่อสื่อสารของระบบคอมพิวเตอร์นั้น

“ผู้ให้บริการ” หมายความว่า

(1) ผู้ให้บริการแก่บุคคลอื่น ในการเข้าสู่อินเทอร์เน็ต หรือให้สามารถติดต่อถึงกัน โดย ประการอื่น โดยผ่านทางระบบคอมพิวเตอร์ ทั้งนี้ ไม่ว่าจะเป็นการให้บริการในนามของตนเอง หรือในนาม หรือเพื่อประโยชน์ของบุคคลอื่น

(2) ผู้ให้บริการเก็บรักษาข้อมูลคอมพิวเตอร์เพื่อประโยชน์ของบุคคลอื่น

มาตรา 26 ผู้ให้บริการต้องเก็บรักษาข้อมูลจราจรทางคอมพิวเตอร์ไว้ไม่น้อยกว่าเก้าสิบวัน นับแต่วันที่ข้อมูลนั้นเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ แต่ในกรณีจําเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่จะสั่งให้ผู้ให้บริการ ผู้ใดเก็บรักษาข้อมูลจราจรทางคอมพิวเตอร์ไว้เกินเก้าสิบวันแต่ไม่เกินหนึ่งปีเป็นกรณีพิเศษเฉพาะรายและเฉพาะคราวก็ได้

ผู้ให้บริการจะต้องเก็บรักษาข้อมูลของผู้ใช้บริการเท่าที่จําเป็นเพื่อให้สามารถระบุตัวผู้ใช้บริการ นับตั้งแต่เริ่มใช้บริการและต้องเก็บรักษาไว้เป็นเวลาไม่น้อยกว่าเก้าสิบวันนับตั้งแต่การใช้บริการสิ้นสุดลง

ความในวรรคหนึ่งจะใช้กับผู้ให้บริการประเภทใด อย่างไร และเมื่อใด ให้เป็นไปตามที่รัฐมนตรี ประกาศในราชกิจจานุเบกษา

ผู้ให้บริการผู้ใดไม่ปฏิบัติตามมาตรานี้ ต้องระวางโทษปรับไม่เกินห้าแสนบาท
และขอชี้ให้เห็นปัญหาโดยสังเขปเป็นประเด็น ๆ ไปดังนี้

1. Content Service Provider และประเภทข้อมูลที่ต้องจัดเก็บตามร่าง ฯ ประกาศ

1.1 บังคับผู้ให้บริการผิดประเภท และ/หรือ กำหนดให้จัดเก็บข้อมูลในลักษณะซ้ำซ้อน

ตามหัวข้อผมขอกล่าวถึง ผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตประเภทที่ใกล้ตัว (ผมและน่าจะท่านผู้อ่านอีกหลายคนด้วย) ที่สุด เป็นหลัก กล่าวคือ Content Service Provider ซึ่งถูกระบุไว้ในตัวประกาศ และ ภาคผนวก ก. ว่า เป็นกลุ่มผู้ให้บริการกลุ่มที่ 2 แห่งพระราชบัญญัติ ฯ "มาตรา 3 ผู้ให้บริการหมายถึง [...] (2) ผู้ให้บริการเก็บรักษาข้อมูลคอมพิวเตอร์เพื่อประโยชน์ของบุคคลอื่น" โดยในร่าง ฯ ประกาศของไอซีที กำหนดรายละเอียดเอาไว้ว่า




เขียนให้ง่ายหน่อย (หรือเปล่า?) ก็คือ ผู้ให้บริการกลุ่มนี้ หมายถึง ผู้ผลิตเนื้อหาประเภทต่าง ๆ ป้อนเข้าสู่บริการบนอินเทอร์เน็ต รวมทั้งให้บริการ เครื่องมือ สร้าง เก็บรักษาเนื้อหา รวมทั้งดูแลระบบ และการจัดเก็บข้อมูลดังกล่าว ให้กับบุคคลอื่น ๆ ด้วย คุ้น ๆ หรือเปล่าว่า มันก็หมายถึง บรรดาเจ้าของ รวมทั้งผู้เปิดให้บริการโพส หรือเขียนข้อมูล ตามเว็บไซท์ประเภทต่าง ๆ (ราชการ, บันเทิง, พาณิชย์ ฯลฯ), เว็บบอร์ด รวมทั้งเว็บบล็อก นั่นเอง อาทิเช่น พวกผมในฐานะเจ้าของ BioLawCom, สสส. ในฐานะผู้ให้บริการบล็อก GotoKnow , คุณ Lew และ คุณ mk ในฐานะผู้ดูแลข้อมูล และ บริการใน Blognone , คุณแชมป์ ในฐานะเจ้าของ และผู้ให้บริการไดอารี่ exteen, คุณวันฉัตร เจ้าของบอร์ดพันธ์ทิพย์, กลุ่มประชาไท ในฐานะเจ้าของเว็บข่าวประชาไท , คนขายของออนไลน์ทำนองเดียวกับ ebay รวมไปถึง บรรดาผู้เขียนบล็อกเพียว ๆ ที่ใช้บริการเครื่องมือ และพื้นที่จากผู้ให้บริการทั้งในและต่างประเทศ อย่าง ลูกค้าบล็อกเกอร์ หรือ บล็อกแกงค์ เป็นต้น



เนื่องจากในปัจจุบัน ด้วยรูปแบบบริการหลากหลายที่เกิดขึ้น ด้วยระบบการสื่อสารแบบ "สองทาง" ผู้ให้บริการประเภทนี้ ไม่ได้เป็นบุคคลเพียงกลุ่มเดียวอีกต่อไปครับ ที่จะต้องคอยผลิตเนื้อหา ป้อนสู่สายตา "ผู้ใช้ หรือผู้เล่นบริการอินเทอร์เน็ต" คนอื่น ๆ บริการจำนวนมาก หรือเกือบทั้งหมดที่โลดแล่นอยู่บนเครือข่าย ฯ ล้วนขับเคลื่อน มีชีวิตชีวาด้วยการเปิดโอกาสให้ผู้คนเข้าไปมี ส่วนร่วมในการนำเสนอ ข้อเขียน, บทความ, บันทึกประจำวัน, แสดงความคิดเห็น, แชร์ข้อมูล, โพสรูปภาพ, ส่งไฟล์เสียง หรือ กระทั่งการทำธุรกิจ ธุรกรรม ด้วยการ เสนอขาย เสนอซื้อ หรือทำสัญญาระหว่างกัน

ดังนั้น Content Provider จึงกลายเป็น ผู้ให้บริการกลุ่มหนึ่ง ที่มีโอกาส (ที่แตกต่างกันไป) หรือสามารถรับรู้ข้อมูลบางประเภท ของพลเน็ทผู้ใช้บริการของตัวได้ อาทิ ใครบ้างที่ล็อกอินเข้าสู่หน้าเว็บไซท์ หรือบริการที่เปิดไว้ ล็อกมาเวลาอะไร โพสอะไร หรือ ล็อกเอาท์ออกไปแล้วเมื่อไหร่กัน ด้วยเหตุนี้ ไอซีที จึงจับผู้ให้บริการกลุ่มนี้มาทำหน้าที่เก็บรักษาข้อมูลบางประเภท ด้วย โดยบรรดาข้อมูล ฯ ที่ไอซีที(อยาก)กำหนดให้ Content Provider ต้องเก็บรักษาไว้ บรรจุอยู่ในประกาศ (ภาคผนวก ข.) ก็ได้แก่



จริงอยู่ที่ว่า Content Provider ในบางระดับ สามารถรับรู้ สอบถาม ขอข้อมูล Log File (ข้อ ก 2) จากผู้ให้บริการ Server หรือ ผู้บริการ Host (ซึ่งเป็นกลุ่มผู้ให้บริการที่รับรู้ และจัดเก็บข้อมูลประเภทนี้ไว้เป็นปกติอยู่แล้ว) ได้โดยตรง รวมทั้ง Content Provider บางรายยังสามารถจัดหาโปรแกรมพิเศษเพื่อจัดเก็บข้อมูลเช่นนี้ไว้ด้วยตนเอง ก็ยังได้ แต่ คำถามแรก ก็คือ ผู้ให้บริการประเภทใดกันแน่ที่ควรเป็นผู้เก็บ Log file ดังกล่าว ?

หากได้ลองโหลด ภาคผนวก ข. ซึ่งกำหนดประเภทข้อมูลที่ทุก ๆ ฝ่ายต้องจัดเก็บ มาอ่านโดยละเอียด ท่านอาจต้องตกใจก็ได้ครับ เมื่อพบว่า ไม่ว่าจะเป็น Access (บริการเข้าถึงเครือข่าย), Host (บริการพื้นที่) หรือ Content Provider ล้วนแล้วแต่มีหน้าที่ต้องจัดเก็บ User ID (ข้อ ก 1) และ Log file (ข้อ ก 2) ซึ่งข้อมูลบางส่วนเป็นประเภท และชุดเดียวกัน ทั้งสิ้น ดังนั้น คำถามที่สอง ก็คือ ทำไมไอซีทีจึงกำหนดประกาศ ในลักษณะเหวี่ยงแหให้ผู้ให้บริการทุกประเภท ต้องจัดเก็บข้อมูลประเภทเดียวกัน ซ้ำกัน ?

จากการสืบค้นข้อมูลพอสังเขป ผมพบว่า โดยปกติแล้วผู้ให้บริการที่มักมีมีระบบการจัดเก็บ Log file การเข้าออก หรือใช้บริการในเครือข่าย เพื่อประโยชน์ต่อการตรวจสอบบริการของตนเอง ก็คือ กลุ่ม Host Service Provider เช่นนี้แล้ว เหตุใดไอซีทีจึงไม่กำหนดให้ผู้ให้บริการกลุ่มนี้เป็นผู้เก็บรักษา ซึ่งถือเป็นการ เพิ่มภาระหน้าที่ที่สมเหตุสมผลกว่า การกำหนดให้ผู้ให้บริการปลายทางอย่าง Content Provider ต้องมาร่วมจัดเก็บอีกชั้นหนึ่ง

อย่างไรก็ตาม ในความเป็นจริง ผู้ให้บริการ Content หลายรายเช่าใช่ Host จากต่างประเทศ ดังนั้น การกำหนดให้ Content Provider ลักษณะนี้ต้องจัดเก็บด้วย เพื่อแบ่งเบาภาระของฝ่ายรัฐ ก็คงพอสมเหตุสมผลอยู่ แต่ก็ควรเป็นลักษณะข้อยกเว้นที่มีหลักเกณฑ์ชัดเจน ที่จะกำหนดให้ผู้ให้บริการกลุ่มนี้ ต้องหาวิธีบันทึก จัดเก็บ หรือร้องขอ Log File จาก Host ต่างประเทศ ในส่วนบริการของตัวด้วย (ถ้าทำได้) มากกว่าเป็นการกำหนดไว้ให้เก็บโดยทั่วไปแบบที่เป็นอยุ่

สรุปในประเด็นปัญหานี้ได้ว่า ตารางที่อยู่ในภาคผนวก ข. ของไอซีทีนี้ มีลักษณะของการเร่งรีบออกจนเกินไป (หวังให้ทันใช้พร้อมกับพรบ ฯ ซึ่งก็ไม่ทราบว่าจะกำหนดไว้สั้น ๆ แค่ 30 วันทำไม ?) จึงน่าจะขาดการวิเคราะห์ วิจัย หรือศึกษาให้ลึกซึ้งว่า ผู้ให้บริการประเภทใดกันแน่ที่เหมาะสมต่อการจัดเก็บข้อมูลประเภทใด

1.2 การพยายามทำลายหลักการ Anonymous กับประโยชน์ และความจำเป็นที่ต้องจัดเก็บข้อมูลบางประเภท

ก่อนจะกล่าวถึงประเด็นนี้ ขอยกประกาศ ข้อ 8 มาเพิ่มเติมอีกสักข้อนะครับ คือ







จากประกาศ และภาคผนวก ข. ที่ยกมา จะเห็นได้ว่า ไอซีที มีความพยายามอย่างมาก ที่จะกำหนดให้ ผู้ให้บริการทั้งหลาย ทำลายหลักการ Anonymous ทั้งนี้ เพราะการบังคับว่า ผู้ให้บริการ Content ต้องจัดเก็บ User ID ตามตาราง ข้อ ก 1) หรือ การที่ผู้ให้บริการที่ใช้บริการของบุคคลที่สาม ต้องหาวิธีการระบุ และยืนยันตัวบุคคลให้ได้ ตามประกาศ ข้อ 8 (5) ย่อมเท่ากับว่า เขาเหล่านี้ (เจ้าของเว็บ เจ้าของบอร์ด บล็อกเกอร์ ฯลฯ) ต้องกำหนดให้ผู้ประสงค์แลกเปลี่ยนความคิดเห็น หรือใช้บริการสมัครเป็นสมาชิก และกรอกข้อมูลกับเขาก่อนเสมอ คำถามก็คือ ข้อกำหนดเช่นนี้ ถือได้หรือไม่ว่า ไอซีที พยายามบังคับให้ผู้ให้บริการทุกราย ทำลายธรรมชาติแห่งการใช้อินเทอร์เน็ต และประสงค์จะเปลือยเปล่าพลเมืองของตนให้ล่อนจ้อน ทุกท่วงท่า ?

การเรียกร้องให้ต้องเกิดการสมัครสมาชิก (ที่บุคคลเดียวกันสามารถสมัครได้หลายครั้ง) หรือการเรียกร้องให้เก็บข้อมูลบางอย่าง อาทิ ชื่อ สกุล รวมทั้งเลขหมายบัตรต่าง ๆ (ข้อ ก 4) หากมีการปลอมแปลงเกิดขึ้นตั้งแต่แรก ฝ่ายรัฐจะสามารถตรวจเช็คความจริงแท้ได้หรือไม่ ? หรือภาระหน้าที่ในการต้องพิสูจน์ความจริงแท้ของข้อมูลเหล่านี้ ตกอยู่ที่ใคร ? (ดูเหมือนว่า ข้อ 8 (4) ภาระนี้จะถูกผลักให้ผู้ให้บริการ ด้วย !) ที่สุดแล้ว การเก็บข้อมูลเหล่านี้ จะนำไปใช้ประโยชน์ได้จริงหรือไม่ หรือกลับจะสร้างความซับซ้อนของการสืบค้นตัว มากขึ้น เพราะต้องประสบปัญหาการปลอมแปลงข้อมูล หรือการสวมตัวบุคคล ฯลฯ...

และกรณีนี้ ผมยังไม่ได้กล่าวประเด็นว่า "แท้จริงแล้ว ไอซีที จะบังคับให้ผู้ให้บริการเก็บข้อมูลตามตารางข้อ ก 4 ได้หรือไม่ ?" เลยนะครับ และกำลังจะกล่าวถึงดังต่อไปนี้

1.3 ขัด หรือแย้งกับ พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดที่เกี่ยวกับคอมพิวเตอร์

ประเด็นหลักที่กำลังเป็นข้อถกเถียงหนักอยู่ตอนนี้ เห็นจะเป็น ข้อมูลตาม ข้อ ก 4) ที่ไอซีทีจับยัดเข้ามาด้วยในตารางนี่เอง



เพราะ คำถามก็คือ ข้อมูลต่าง ๆ ตามที่อยู่ใน 4) อาทิ ชื่อ สกุล รหัสประจำตัวประชาชน เลขบัญชีธนาคาร เลขหมายบัตรเครดิต และอื่น ๆ ทำนองเดียวกัน ไอซีที สามารถกำหนดบังคับให้ Content Provider จัดเก็บได้หรือไม่ และมันเกี่ยวข้อง อย่างไรกับ "ข้อมูลจราจรทางคอมพิวเตอร์" ?

การที่พระราชบัญญัติ ฯ มาตรา 26 วรรคแรก บัญญัติชัดเจนว่า "ข้อมูลที่ต้องจัดเก็บ คือ ข้อมูลจราจรทางคอมพิวเตอร์" นั่นย่อมหมายความว่า กฎหมายฉบับนี้ ประสงค์ให้ผู้ให้บริการเก็บ เฉพาะข้อมูล ที่โดยสภาพ เป็นขอมูลที่เกี่ยวกับการติดต่อสื่อสารของระบบคอมพิวเตอร์ แสดงถึง แหล่งกําเนิด ต้นทาง ปลายทาง เส้นทาง เวลา วันที่ ปริมาณ ระยะเวลา ชนิดของบริการ หรืออื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการติดต่อสื่อสาร "ของระบบคอมพิวเตอร่" เท่านั้น
มาตรา 26 ผู้ให้บริการต้องเก็บรักษาข้อมูลจราจรทางคอมพิวเตอร์ไว้ไม่น้อยกว่าเก้าสิบวัน นับแต่วันที่ข้อมูลนั้นเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ แต่ในกรณีจําเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่จะสั่งให้ผู้ให้บริการ ผู้ใดเก็บรักษาข้อมูลจราจรทางคอมพิวเตอร์ไว้เกินเก้าสิบวันแต่ไม่เกินหนึ่งปีเป็นกรณีพิเศษเฉพาะรายและเฉพาะคราวก็ได้
ผู้ให้บริการจะต้องเก็บรักษาข้อมูลของผู้ใช้บริการเท่าที่จําเป็นเพื่อให้ สามารถระบุตัวผู้ใช้บริการ นับตั้งแต่เริ่มใช้บริการและต้องเก็บรักษาไว้เป็นเวลาไม้น้อยกว่าเก้าสิบวัน นับตั้งแต่การใช้บริการสิ้นสุดลง
ความในวรรคหนึ่งจะใช้กับผู้ให้บริการประเภทใด อย่างไร และเมื่อใด ให้เป็นไปตามที่รัฐมนตรี ประกาศในราชกิจจานุเบกษา
ผู้ให้บริการผู้ใดไม่ปฏิบัติตามมาตรานี้ ต้องระวางโทษปรับไม่เกินห้าแสนบาท

ศัพท์บัญญัติดังกล่าว (ข้อมูลจราจรทางคอมพิวเตอร์) ในทางกฎหมายแล้ว ไม่ว่าท่านจะตีความโดยตรง, เทียบเคียง หรือแม้แต่ตีแบบขยายความแล้ว ก็ไม่สามารถครอบคลุมไปถึงบรรดา ข้อมูลส่วนบุคคล ซึ่งถูกบรรจุอยู่ใน 4) ได้เลย ทั้งนี้เพราะ โดยปกติทั่วไป ผู้ขอใช้บริการจากผู้ให้บริการ Content Provider ไม่มีความจำเป็น ต้องแจ้ง หรืออาศัยเลขบัตรเหล่านั้นเลย ก็สามารถเข้าใช้บริการต่าง ๆ ได้ เลขหมายเหล่านี้ ไม่ใช่ส่วนหนึ่ง ของ "การจราจร ที่ประกอบสร้างกันขึ้นมา ในระบบคอมพิวเตอร์ หรือระบบการติดต่อสื่อสารทางอินเทอร์เน็ต" (การร้องขอ ข้อมูลต่าง ๆ ดังกล่าว อาจเกิดขึ้นได้บ้าง ก็ต่อเมื่อ ทั้งสองฝ่าย (ผู้ให้ และผู้ใช้) ยินยอมให้ข้อมูลแก่กัน โดยมีวัตถุประสงค์พิเศษเพื่อการอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น โอนชำระเงินในการขายสินค้า เป็นต้น)

แม้พรบ. ฯ ฉบับนี้จะให้อำนาจแก่ ฝ่ายผู้บริหาร หรือผู้บังคับใช้กฎหมาย (ในที่นี้ คือ กระทรวงไอซีที) ในการกำหนดรายละเอียด เกี่ยวกับการจัดเก็บข้อมูล (มาตรา 26 วรรค 3) แต่ก็หาได้มีความประสงค์ให้ ไอซีที ลุกขึ้นมา กำหนดเอาเองตามใจชอบว่า ไอ้นั่น ไอ้นี่ คือ สิ่งที่ฉันประสงค์ให้เธอเก็บ หรือ ไอ้นั่น ไอ้นี่ คือ ข้อมูลจราจรทางคอมพิวเตอร์ในความต้องการของฉัน ทั้ง ๆ ที่ในความเป็นจริง มันเป็น ข้อมูลส่วนบุคคล ที่ไม่ได้เกี่ยวพันทั้งโดยนิตินัย และพฤตินัย กับระบบคอมพิวเตอร์ หรือการจราจรใด ๆ ในทางคอมพิวเตอร์เลย

หากปล่อยให้ไอซีที ซึ่งเป็นเพียงหน่วยงานผู้บังคับใช้กฎหมาย กำหนดเช่นนั้นได้ ย่อมเท่ากับว่า "ฝ่ายบริหารมีอำนาจในการออกกฎหมาย เหนือกว่าฝ่ายนิติบัญญัติ" เพราะสามารถกำหนดเอาเองตามใจ ว่าฉันอยากได้อะไร โดยไม่ได้คำนึงถึงกรอบหรือขอบเขตที่ถูกกำหนดไว้แล้วใน "คำนิยาม" แห่งฝ่ายนิติบัญญัติ องค์กรหลักผู้มีอำนาจในการออกกฎหมาย เลย

(นี่ยังไม่ได้กล่าวเลยว่า ณ วันนี้ วันที่ประเทศไทยยังไม่มี กฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล การใช้บังคับกฎหมายยังมีช่องโหว่ การบังคับให้พลเมือง จำต้องมอบข้อมูลส่วนตัวให้ใครต่อใครไปเก็บรักษาไว้ หากเกิดอะไรขึ้นกับข้อมูลเหล่านั้น รัฐคิดจะรับผิดชอบอะไรหรือไม่ ? หรือ ถ้าคิด จะรับผิดชอบไหวหรือเปล่า ?)

เขียนมาถึงตรงนี้ อาจมีคน(ไอซีที) แย้งผมว่า ยังไงเสีย ผู้ให้บริการก็ต้องมีหน้าที่ เก็บอะไรสักอย่างเพื่อให้สามารถระบุตัวผู้ใช้บริการ อยู่ดีนะ ตาม วรรค 2 ของมาตรา 26 แห่ง พรบ. ฯ

แต่ผม และคนไอทีแถวนี้ คงต้องแย้งกลับว่า ผู้บัญญัติกฎหมายเขาไม่ได้ให้อำนาจไอซีทีในการระบุว่า ในวรรค 2 สิ่งที่เก็บหมายถึงอะไรบ้างนะครับ เพราะ วรรค 3 ที่ให้อำนาจไอซีทีในการออกประกาศ บัญญัติหมายเฉพาะ "ความในวรรค 1" ดังนั้น สิ่งทั้งหลายทั้งปวงที่ไอซีที มีสิทธิกำหนดในประกาศ จึงต้องอยู่ในขอบเขตของคำว่า "ข้อมูลจราจรทางคอมพิวเตอร์" วรรคหนึ่งเท่านั้น และต้องไม่มีลักษณะขัด หรือแย้งกับนิยามดังกล่าวด้วย...

มีใครบางคนตะโกนบอกอีกว่า "นายนี่ มันพวกตีความตามตัวอักษร" แต่...ไม่ล่ะครับ ผมไม่รับข้อกล่าวหานี้ เพราะ ต่อให้ผมตีความตามเจตนารมณ์ ที่ว่า กฎหมายประสงค์ให้ "ผู้ให้บริการ" เป็นเพียง "ผู้ช่วยเหลือ หรือให้การสนับสนุน" เจ้าหน้าที่ในการสืบสวน สอบสวนเท่านั้น ไม่ใช่กำหนดให้ต้องมาเป็น "คนค้นหา หรือระบุให้จงได้ ชนิดจริงแน่ว่าใครเป็นใครอย่างชัดเจน (ซึ่งยุ่งยากมาก และเป็นไปแทบไม่ได้ เพราะ มีการอำพรางตัวอีกหลากหลายรูปแบบ) โดยที่เจ้าหน้าที่ไม่ต้องสืบต่อ" ประกอบกับเจตนารมณ์ของผู้ร่างพรบ. ฯ เอง ที่เคยประกาศอยู่เสมอว่า จะพยายามไม่สร้างภาระอันหนักหนาเกินไปให้ประชาชน และผู้ประกอบการ แล้วก็ตาม

„การต้องเก็บรักษาข้อมูลของผู้ใช้บริการเท่าที่จำเป็น" วรรคสอง ในทางปฏิบัติ ในทางเทคนิค ในสายตาของวิญญูชนผู้ใช้เทคโนโลยีเป็น รวมทั้ง ในสายตาของรัฐ ที่คำนึงถึงความเจริญก้าวหน้าในทางเทคโนโลยีและการเข้าถึงข้อมูลของประชาชน ในสายตาของรัฐที่เคารพข้อมูลส่วนบุคคลของพลเมือง ย่อมหมายถึง การเก็บ "อัตลักษณ์ทางไอที" ซึ่งสามารถระบุตัวตนทางคอมพิวเตอร์ของผู้ใช้บริการได้ในระดับจำเป็น เท่านั้นนะครับ ไม่ใช่ให้ใครต่อใครมาคอยหาช่องกำหนดประกาศให้เกินเลย โดยมีนัยยะทางการเมือง การปิดปาก และการเช็คบิลแอบแฝง
กล่าวโดยสรุปสำหรับเรื่องนี้ เพื่อให้ทั้งคนที่เป็น นักกฎหมาย, ไม่ใช่นักกฎหมาย, คนไอที และไม่ใช่ไอที เข้าใจได้ว่า ข้อมูลทั้งหลายแหล่ที่ถูกจับยัดเข้ามาใน 4) แห่ง ภาคผนวก ข. ของไอซีทีฉบับนี้ เป็น เรื่องเกินขอบเขต มีลักษณะ "ขัด หรือแย้ง" กับนิยาม "ข้อมูลจราจรทางคอมพิวเตอร์" ที่ถูกบัญญัติไว้แล้วในพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดที่เกี่ยวกับ คอมพิวเตอร์ พ.ศ 2550 ซึ่งถือเป็นกฎหมายแม่ ที่ให้อำนาจไอซีทีในการออกประกาศ (กฎหมายลูก) ครับ

เช่นนี้ ถ้าภาคผนวก ข 3 ก. 4) ถูกประกาศออกมา ก็ไม่อาจใช้บังคับกับประชาชน หรือผู้ให้บริการใด ๆ ได้

อย่างไรก็ตาม ดังแอบพูดถึงไปบ้างว่า แม้ ข้อมูลส่วนบุคคลกลุ่มนี้ จะไม่เกี่ยวกับ ข้อมูลจราจรทางคอมพิวเตอร์ เลย แต่ก็อาจเกิดกรณีจัดเก็บกันได้ หรือจำเป็นที่ผู้ให้บริการต้องเก็บอยู่เหมือนกัน สำหรับการให้บริการบางอย่าง เพื่อยืนยันตัวตนผู้ใช้บริการ และเพื่อรักษาผลประโยชน์ของผู้ให้บริการเอง เช่น การซื้อขายสินค้า การชำระเงิน หรือทำสัญญาอย่างหนึ่งอย่างใด เป็นต้น แต่ก็ย่อมขึ้นอยู่กับผู้ให้บริการ ในบริการลักษณะนั้นเองว่า เขายินดีจะเก็บรักษาไว้ให้ถึง 90 วัน หรือไม่

ดังนั้น เรื่องนี้ จึงน่าจะเป็นเรื่องของ "ความสมัครใจ" ที่จะจัดเก็บหรือไม่ ของฝั่งผู้ให้บริการ แต่ละราย แต่ละประเภท และแต่ละขอบเขตการให้บริการ มากกว่า ที่กระทรวงไอซีทีจะมาบังคับขู่เข็ญให้ต้องเก็บด้วยโทษทางอาญา

2. ผู้ให้บริการที่ต้องจัดเก็บข้อมูล ประเภทอื่น ๆ

ซึ่งเรารู้จักกันบ้าง ไม่รู้จักบ้าง อาทิ กลุ่มผู้ประกอบกิจการโทรคมนาคม (ผู้ให้บริการโทรศัพท์พื้นฐาน, โทรศัพท์เคลื่อนที่, ADSL, ดาวทียม ฯลฯ), กลุ่มผู้บริการเข้าถึงเครือข่ายอินเทอร์เน็ต (บริษัทเอกชนบริการ Access, โรงเรียน, สถาบันการศึกษา, อินเทอร์เน็ตคาเฟ่ หรือองค์กรรัฐอื่นๆ ฯลฯ) และ กลุ่มผู้บริการพื้นที่ Host หรือ Server ประเภทต่าง ๆ (ให้เช่าระบบคอมฯ, Server อีเมล์, Server แชร์ไฟล์ ฯลฯ) ที่ต้องได้รับผลกระทบจากพรบ. ฯ และประกาศไอซีที เช่นกัน เหล่านี้ โดยส่วนตัว ผมไม่มีอะไรจะเขียนถึงมาก (เพราะไม่รู้ว่าใครเป็นใคร และออกจะเป็นเรื่องในรายละเอียด)



หากท่านอยากรู้รายละเอียด แนะนำให้ ลองศึกษาได้จากร่าง ฯ ประกาศ และ ภาคผนวก ก (ตั้งแต่หน้า 126-132) แล้วก็พิจารณาให้ดี ๆ นะครับว่า ในทางเทคนิค และลักษณะการให้บริการของท่านนั้น "ท่านควรจัดอยู่ในผู้ให้บริการประเภทไหน" หรือ ไอซีที จัดกลุ่มไว้ถูกต้องแล้วหรือไม่ เพราะจะเกี่ยวพันกับ "ประเภทข้อมูล" ที่ท่านมีหน้าที่ต้องจัดเก็บ และโปรดอย่าลืมนะครับว่า บุคคล หรือนิติบุคคลคนหนึ่ง สามารถเป็นผู้ประกอบการได้หลายประเภท ยกตัวอย่างกรณี สสส. GotoKnow เอง ในขณะที่มือข้างหนึ่งเป็น Content Provider แต่เนื่องจากมี Host ให้บริการคนอื่นอยู่ด้วย จึงต้องถือว่าเขาเป็น Host Service Provider ด้วยอีกฐานะหนึ่ง

สำหรับ "ประเภทข้อมูล" (ภาคผนวก ข. ตั้งแต่หน้า 133-135) ที่ต้องจัดเก็บ นอกเหนือจากที่มีลักษณะการจัดเก็บข้อมูลซ้ำซ้อนกับ Content Provider ดังที่พูดถึงไปแล้ว มีอีกบางจุดเท่านั้น ที่ชวนตั้งข้อสังเกตกับไอซีทีว่า มันไม่น่าจะเกี่ยวกับ "ข้อมูลจราจรทางคอมพิวเตอร์" เช่นกัน กล่าวคือ

:- ภาคผนวก ข ข้อ 1 ข. ที่ว่า กลุ่มผู้ประกอบกิจการโทรคมนาคม ต้องเก็บ "ข้อมูลที่สามารถระบุปลายทางของการติดต่อสื่อสารของระบบคอมพิวเตอร์" และหนึ่งในนั้นคือ "จำนวนโทรศัพท์ที่ใช้" ???? เกี่ยวอะไรด้วย (แม้ผู้ประกอบการบางรายจะรู้ก็เถอะ)
:- ภาคผนวก ข ข้อ 1 จ. ที่ว่า กลุ่มผู้ประกอบกิจการโทรคมนาคมต้องเก็บ "ข้อมูลที่สามารถระบุถึงอุปกรณ์ที่ใช้ในการติดต่อสื่อสาร" (2) „ข้อมูลที่สามารถระบุตัวผู้รับโทรศัพท์ระหว่างประเทศปลายทาง" ??? ก็น่าสงสัยว่า เกี่ยวกับการระบุอุปกรณ์ ?

3. ประเด็นอื่น ๆ ที่อยากให้ทำความเข้าใจ และต่อรองกับภาครัฐให้ดี ๆ

อาทิ ภาระค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ในการจัดเก็บข้อมูล ฯ ควรเป็นของใครบ้าง ?, "การกำหนดมาตรฐานการจัดเก็บ" รวมทั้งการพัฒนาโปรแกรม หรือเครื่องมือในการจัดเก็บ ฯลฯ หากยังพอจำกันได้ ก่อนที่พระราชบัญญัติ ฯ จะประกาศใช้ ในงานสัมมนาหลายต่อหลายครั้ง มีคนพยายามพูดถึงประเด็นเรื่องภาระค่าใช้จ่ายในเรื่องนี้มาแล้ว ว่าควรเป็นของใคร หรือช่วยแบ่งเบากันอย่างไร

สำหรับผู้ให้บริการรายใหญ่ การจัดเก็บข้อมูลต่าง ๆ เหล่านี้ ในระยะเวลาที่นานถึง 90 วัน ไม่ใช่เรื่องเล็ก ๆ เลยนะครับ ผมแอบสืบทราบมาว่า สสส. ผู้ให้บริการเว็บบล็อก GotoKnow ปัจจุบัน ต้องใช้พื้นที่ในการเก็บ Log file โดยเฉลี่ยประมาณ 1 GB/วัน เช่นนี้ การต้องเก็บไว้เป็นระยะเวลาอย่างน้อย 90 วัน นั่นหมายถึง เค้าต้องใช้ทั้งพื้นที่ บุคลากร เครื่องมือ และค่าใช้จ่าย เพิ่มขึ้นมหาศาลขนาดไหน ?

ดังนั้นประเด็นเหล่านี้ ควรหรือไม่ที่ ฝ่ายรัฐต้องแสดงความรับผิดชอบ และความจริงใจในการปฏิบัติหน้าที่ของตัวเอง ในการต้องเป็นองค์กรเสาหลักปฏิบัติการ "ป้องกัน และปราบปรามการกระทำความผิด" ด้วยการช่วยแบ่งเบาภาระจากภาคเอกชน ในรายที่อาจเกินกำลังจริง ๆ อาทิเช่น จัดตั้ง Server ขนาดใหญ่ของรัฐ สำหรับช่วยเก็บข้อมูล Log file จากเอกชนบางราย ด้วยการกำหนด Limit ทำนองว่า หากบริษัทใด หรือผู้ให้บริการรายใดต้องใช้พื้นที่ในการจัดเก็บเกินกี่ GB ต่อวัน สามารถโอนถ่าย หรือฝาก Log File หรือ ข้อมูลจราจรทางคอมพิวเตอร์เหล่านั้นมายังภาครัฐได้ ซึ่งนั่น ย่อมไม่ใช่แค่เพียงแบ่งเบาภาระทางฝั่งผู้ประกอบการเท่านั้น แต่ยังช่วยแบ่งเบาภาระให้กับเจ้าหน้าที่รัฐ ที่ไม่ต้องคอยแต่ร้องขอข้อมูลจากผู้ประกอบการ เพียงอย่างเดียว เพราะตนมีข้อมูลจำนวนหนึ่งเก็บไว้สืบสวนได้อยู่แล้ว อีกทั้งยังเป็นหลักประกันด้วยว่า "ข้อมูล" ดังกล่าวจะไม่ถูกแก้ไขเปลี่ยนแปลง (ด้วยเหตุผลใด ๆ ก็ตาม จากผู้ประกอบการ) ก่อนจะถึงมือเจ้าพนักงานรัฐ

นอกจากนี้ในประเด็น การวิจัย หรือการสนับสนุนการวิจัยและพัฒนาโปรแกรม ในการเก็บรักษาข้อมูลที่มีประสิทธิภาพ ให้ได้มาตรฐานเดียวกัน เพื่อสนับสนุน หรือแจกจ่ายให้กับผู้บริการรายย่อย ก็ควรหรือไม่ที่รัฐจะต้องยื่นมือเข้ามาช่วย

อนึ่ง การแก้ปัญหาอาชญากรรมรูปแบบใหม่นี้ ไม่อาจเป็นไปอย่างเต็มประสิทธิภาพได้เลยครับ ถ้ารัฐเอาแต่ใช้มาตรการ "บังคับ" แต่เพียงอย่างเดียว เพราะด้วยจำนวน และประเภทของ ผู้ประกอบการ และผู้ให้บริการที่นับวันจะยิ่งมากมายมหาศาล ท่านจะไม่สามารถตรวจสอบได้ทั้งหมดเลยว่า ใครทำตามบังคับ และใครไม่ทำตามบังคับบ้าง หลายประเทศจึงใช้มาตรการ "ให้ผลประโยชน์" บางประการเป็นตัวล่อ ควบคู่ไปด้วย อาทิ การลดภาษี, การให้เงินบางส่วนเพื่อสนับสนุนกิจการ หรือผลประโยชน์ในรูปแบบอื่น ๆ ที่เกี่ยวกับการสอดส่องเป็นหูเป็นตา ซึ่งดูเหมือนว่า หลายต่อหลายครั้งจะได้ผลที่น่าพอใจกว่ามาก

จริงอยู่ การผลักภาระหน้าที่ในการ ป้องกัน และปราบปรามอาชญากรรม เพื่อความสงบสุขของบ้านเมืองทั้งหมดไปไว้ที่ "หน่วยงานรัฐ" หรือฝากความหวังไว้กับเจ้าหน้าที่รัฐเพียงอย่างเดียว เป็นเรื่องไม่ถูกต้อง จริงอยู่ ทุกคนเป็นส่วนหนึ่งของรัฐ ใครบางคนบอกผมว่า แท้จริงแล้วพวกเรานั่นแหละก็คือ "รัฐ" ดังนั้นเมื่อรัฐเกิดปัญหา เราก็ควรช่วยกันแก้ปัญหา

แต่...ท่านทั้งหลายจะยอมรับ "การผลักภาระกองโต" ด้วยอาการ ไม่ยอมรับผิดชอบใด ๆ หรือรับผิดชอบต่ำกว่าที่ควรจะเป็น โดยไม่อินังขังขอบกับสิทธิเสรีภาพของประชาชนในการเข้าถึงข้อมูล การแสดงความคิดเห็น รวมทั้งพัฒนาการทางเทคโนโลยีด้านนี้ จากฝ่ายรัฐ (ผู้มีเงินเดือนเป็นภาษีของท่าน) ได้ฉะนั้นหรือ ?

โดยส่วนตัว ผมไม่อยากให้บรรดา "ผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต" และประชาชนที่ต้องรับผลกระทบจากกฎหมาย และประกาศฉบับนี้ ตื่นเต้น หรือตื่นตูม จนไม่เป็นอันทำอะไรไปก่อนครับ แต่อยากให้ลองศึกษา "ภาระหน้าที่ของท่านในตัวประกาศ" ให้ดี ประเมินว่า ในทางปฏิบัติท่านทำได้หรือไม่ , ข้อมูลต่าง ๆ ที่กำหนดไว้ อยู่ในขอบเขตการบริการของท่านหรือไม่ ที่สำคัญ ท่านคิดว่า มันอยู่ในกรอบของคำว่า "ข้อมูลจราจรทางคอมพิวเตอร์" หรือไม่

สำหรับปัญหาอื่น ๆ ในแง่ที่ว่า รัฐจะนำข้อมูลไปสืบได้จริงหรือเปล่า ? กรณีคนใช้บริการ Server หรือ บริการจากต่างประเทศล่ะ รัฐจะเอามาจากที่ไหน ? รัฐสั่งให้เขาเก็บได้หรือไม่ อย่างไร ? เขาจะเก็บให้รัฐไทยหรือ ? อันนี้เป็นหน้าที่ของภาครัฐ ซึ่ง(โดยสถานภาพแล้ว) มีศักยภาพมากกว่าเรา ที่เขาจะต้องคิดเตรียมการ และหาทาง เตรียมความพร้อม รวมทั้งประสานงานกับต่างประเทศ (ซึ่งถือเป็นประเด็นสำคัญมากในการต่อสู้กับอาชญากรรมไร้พรมแดนประเภทนี้) ฝ่ายเรา ในเบื้องต้นก็ควรศึกษาภาระหน้าที่ให้กระจ่างชัด และทำได้จริงก่อนจะดีกว่า

เอาเข้าจริง ถ้าถามผม ผมก็ต้องบอกว่า ธรรมนูญปกครองพลเมืองออนไลน์ ฉบับนี้ (รวมทั้งกฎหมายลูกตัวอื่น ๆ) เป็นสิ่งจำเป็นต้องมี (สักที) นะครับ ในยุคสมัยที่อะไร ๆ มันก็ทำร้าย ทำลายกันง่ายดายไปเสียหมดในโลกเสมือน และชาวบ้านชาวเมืองอื่นเขาก็มีใช้กันจนเก่าไปหมดแล้ว แต่ผมก็ไม่ปราถนาเลยที่จะเห็นมันกลายเป็น "ความชั่วร้ายที่จำเป็น" ในสายตาพลเมืองทั้งหลาย

อย่างไรก็ตาม ผมไม่ใช่นักอุดมการณ์คุณธรรมจ๋า ที่จะหลับหูหลับตาลุกขึ้นเรียกร้อง หรือถามหา "สำนึก ความดี ความสามัคคี สมานฉันท์" จากผู้คนในสังคมทั้งชาติได้หรอก สำหรับผม คุณก็แค่ลองถามตัวเองเท่านั้นว่า วันนี้ คุณพร้อมที่จะมีภาระหน้าที่ ช่วยกันสอดส่องดูแลสังคมไซเบอร์สังคมนี้ พร้อม ๆ ไปกับการทำหน้าที่ของฝ่ายรัฐ (ภายใต้การตรวจสอบได้จากประชาชน) แล้วหรือไม่ ? หรือ คิดแต่ว่า ถ้าออกกฎอะไรมา ชั้นก็จะย้ายหนี ย้ายหนี
"ท่านอยากเป็นส่วนหนึ่งของการแก้ปัญหา หรือว่า อยากเป็นได้แค่ส่วนหนึ่งของปัญหา"



อ่านแล้วสนใจใคร่ถาม แนวทางปฏิบัติงานของผู้ใช้บังคับกฎหมายตัวนี้ (กระทรวงไอซีที) รวมทั้งฟังแนะแนว เพื่อเตรียมความพร้อม
"การบังคับใช้กฎหมาย : พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550“

เข้าไปดูรายละเอียดที่นี่ http://www.mict.go.th

หมายเหตุ : 1. สำหรับระยะเวลาในการเก็บรักษาข้อมูล กล่าวคือ ต่ำสุด 90 วัน ตามที่บัญญัติไว้ ในพระราชบัญญัติ ฯ นี้ เป็นระยะเวลาที่หลายฝ่าย รวมทั้งในระดับสากลเอง เห็นว่าเหมาะสมนะครับ เพราะแม้ใน ข้อตกลงว่าด้วยอาชญากรรมทางอินเทอร์เน็ต (Convention on Cybercrime 2004 Titel 2 Artkel 16) แห่งคณะมนตรียุโรป อันเป็นข้อตกลงระหว่างประเทศในเรื่องนี้ชิ้นแรกของโลก ซึ่งมีประเทศร่วมลงนามจำนวนมาก เอง ก็ใช้ตัวเลขนี้ เพื่อให้ประเทศสมาชิกผู้ลงนามพิจารณาบัญญัติเป็นกฎหมายภายในของตัวเอง เช่นกัน นัยว่า เป็นระยะเวลาขั้นต่ำกำลังดี ที่จะให้โอกาสเจ้าหน้าที่รัฐ สามารถสืบสวนหาพยานหลักฐาน และสืบสาวไปถึงตัวผู้กระทำความผิดได้ (แต่...เพื่อให้เจ้าหน้าที่สืบหา นะครับ ไม่ใช่ให้ ผู้ให้บริการสืบ หรือเก็บข้อมูลให้ โดยไม่ต้องสืบหาอะไรอีกแล้ว...จำตรงนี้ไว้ดี ๆ)

2. กลัวจะลืมกันไปเสียก่อน เพราะยังมีอีกมาตราหนึ่งนะครับ ที่ "ผู้ให้บริการ" ควรต้องศึกษา และเตรียมตัวเตรียมใจไว้ด้วย คือ

มาตรา 15 ผู้ให้บริการผู้ใดจงใจสนับสนุน หรือ ยินยอมให้มีการกระทําความผิดตามมาตรา 14 ในระบบคอมพิวเตอร์ที่อยู่ในความควบคุมของตน ต้องระวางโทษเช่นเดียวกับผู้กระทําความผิดตาม มาตรา 14

มาตรา 14 ผู้ใดกระทําความผิดที่ระบุไว้ดังต่อไปนี้ ต้องระวางโทษจําคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ

(1) นําเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน
(2) นําเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อัน เป็น เท็จ โดยประการที่น่าจะเกิด ความเสียหายต่อความมั่นคงของประเทศหรือก่อให้เกิดความตื่นตระหนกแก่ประชาชน
(3) นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ใด ๆ อันเป็นความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งราชอาณาจักรหรือความผิดเกี่ยวกับการก่อการร้ายตามประมวลกฎหมายอาญา
(4) นําเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่ง ข้อมูลคอมพิวเตอร์ใด ๆ ที่มีลักษณะอันลามก และข้อมูลคอมพิวเตอร์นั้นประชาชนทั่วไปอาจเข้าถึงได้
(5) เผยแพร่หรือส่งต่อซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์โดยรู้อยู่แล้วว่าเป็นข้อมูลคอมพิวเตอร์ตาม (1) (2) (3) หรือ (4)

โปรดศึกษา และเตรียมรับมือไว้